วันอังคารที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2560

ข่าวเกี่ยวกับไอที 2

Elon Musk เริ่มหาทางสร้าง AI ที่สามารถทำงานร่วมกับสมองของมนุษย์ได้




Elon Musk ชายอัจฉริยะที่ไม่เคยหยุดพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบจ่ายเงินอย่าง Paypal, รถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำ Teslas หรือจรวดที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่ กำลังจะเปิดบริษัทใหม่อีกแล้ว โดยทาง Wall Street Journal ได้รายงานว่า โปรเจคส์ใหม่ของ Musk มีชื่อว่า Neuralink มีเป้าหมายที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมต่อสมองของมนุษย์เข้ากับคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง

Elon Musk เริ่มหาทางสร้าง AI ที่สามารถทำงานร่วมกับสมองของมนุษย์ได้

Wall Street Journal ได้ระบุว่า Musk กำลังง่วนอยู่กับ Startup กลุ่มหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีเป้าหมายในการสร้างกะโหลกคอมพิวเตอร์ในกะโหลกศรีษะเพื่อวินิจฉัยโรคในร่างกายมนุษย์ และการสร้างมนุษย์แบบไฮบริดที่มีการทำงานของคอมพิวเตอร์ผสมในร่างกาย ซึ่ง Musk มีไอเดียว่ามนุษย์ควรจะพัฒนาร่วมกับระบบ AI เพื่อให้ความสามารถพัฒนาไปได้ไกลกว่าเดิม

Neuralink ได้จดทะเบียนในรัฐแคลิฟอร์เนี่ย ในฐานะบริษัทวิจัยยา มีรายงานว่าได้รับนักวิจัยสาขาเกี่ยวประสาทวิทยา รวมไปถึงผู้เชี่บวชาญด้านนาโนเทคโนโลยีอีกหลายคน

Musk เชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยรักษาโรคภัยที่ปัจจุบันไม่มีทางรักษาอย่างเช่น โรคลมชัก, โรคพาร์คินสันหรือภาวะซึมเศร้าได้ ซึ่ง Musk มั่นใจว่าเข้าจะทำให้โครงการนี้สำเร็จได้ภายใน 4-5 ปีข้างหน้า แต่ถึงแม้จะประสบความสำเร็จได้ ก็ยังต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าที่เราทำให้ AI ไปทำงานร่วมกับสมองมนุษย์ได้โดยตรง



ที่มา :  www.engadget.com , www.joemonti.org , www.news.thaiware.com

วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

บทที่ 5 โลกของเครือข่าย

บทที่ 5 โลกของเครือข่าย


วัตถุประสงค์

1. อธิบายความหมายและข้อแตกต่างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตได้
2. สามารถใช้งาน เครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตในด้านต่าง ๆ
3. รู้จักอุปกรณ์เครือข่าย และการเชื่อมต่อประเภทต่าง ๆ
4. รู้จักผู้ให้บริการและสามารถเลือก ISP ที่เหมาะสมกับการใช้งานของตนเองได้
5. จริยธรรมในการใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต


เครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ประกอบด้วย เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปมาเชื่อมต่อกัน โดยอาศัยอุปกรณ์ทางด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในการเชื่อมต่อกัน วัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์







เครือข่ายอินเทอร์เน็ต คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์จ านวนมากที่เชื่อมต่อกันครอบคลุมไปทั่วโลก โดยอินเทอร์เน็ตเป็นทั้งเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายของเครือข่าย เนื่องจากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตประกอบไปด้วยเครือข่ายย่อยเป็นจ านวนมากต่อเชื่อมเข้าด้วยกัน






เกณฑ์ชี้วัดความเร็วอินเทอร์เน็ต (ความกว้างของแถบความถี่ หรือ Bandwidth)

   การใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน มีข้อมูลที่เป็นมัลติมีเดียมากมาย ทั้งวิดีโอ เพลง ฯลฯ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ ดังนั้น ความเร็วในการเชื่อมต่อ เพื่อ Download และ Upload ข้อมูลจึงเป็นสิ่งสำคัญ และ ถูกนำมาใช้เป็นตัววัดระดับค่าบริการ
   เราสามารถตรวจสอบความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยแบ่งเป็น ความเร็วที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราหรือที่เรียกว่าลูกข่าย (Client) รับส่งข้อมูลกับเครื่องแม่ข่ายหรือเครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Server) โดยระบบจะทำการเช็คความเร็วการรับข้อมูลหรือที่เรียกว่า ความเร็วในการดาวน์โหลด (Download Speed) และ ความเร็วในการส่งข้อมูลไปยังเครื่องเซิร์ฟเวอร์หรือที่เรียกว่า ความเร็วในการอัพโหลด (Upload Speed)
    ส่วนใหญ่เราจะได้ยินค าว่า Bandwidth เป็นตัวบอกของเร็วของการส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต แต่จริง ๆ แล้ว หน่วยวัดเป็น bps ย่อมาจาก Bits Per Second (บิตต่อวินาที) นั่นหมายความว่าในหนึ่งวินาทีสามารถรับส่ง

ข้อมูลได้เท่าไรนั่นเอง


เครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตในอดีตและปัจจุบัน [1-3]

  • อินเทอร์เน็ตกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณปีค.ศ.1969 หรือประมาณปีพ.ศ. 2512 โดยพัฒนามาจาก อาร์พาเน็ต (ARPAnet) 
  • อาร์พาเน็ตในขั้นต้นเป็นเพียงเครือข่ายทดลอง ตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนงานวิจัยด้านการทหาร
  • ในปี 2533 มีหลายองค์กรใช้เครือข่ายอาร์พาเน็ตมากขึ้น จนรองรับเป็น backboneต่อไปไม่ไหว อาร์พาเน็ตจึงยุติบทบาทลง และ สหรัฐ ฯ จึงเปลี่ยนไปใช้NFSNET และเครือข่ายอื่น ๆ เป็นเครือข่าย backbone แทน นอกจากนี้ ได้มีการเชื่อมเครือข่ายต่าง ๆ ท าให้เครือข่ายมีขนาดใหญ่มากขึ้นจนเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันนี้
  • อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้ท าการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับมหาวิทยาลัย 6 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT), มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, สถาบันเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC), มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เข้าด้วยกันเรียกว่า"เครือข่ายไทยสาร"
  • การใช้งานอินเทอร์เน็ตชนิดเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง ในประเทศไทยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2535 
  • ในปีเดียวกัน ได้มีหน่วยงานที่เชื่อมต่อแบบออนไลน์กับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่าน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลายแห่งด้วยกันโดยเรียกเครือข่ายนี้ว่าเครือข่าย “ไทยเน็ต” (THAInet) ซึ่งนับเป็นเครือข่ายที่มี “เกตเวย์” (Gateway) หรือประตูสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นแห่งแรกของประเทศไทย
  •  ปี พ.ศ. 2537 ความ ต้องการในการใช้อินเทอร์เน็ตจากภาคเอกชนมีมาก ขึ้นการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท) จึงได้ร่วมมือกับบริษัทเอกชน เปิดบริการอินเทอร์เน็ต ให้แก่บุคคลผู้สนใจทั่วไปได้สมัครเป็นสมาชิก โดยตั้งขึ้นในรูปแบบของบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ เรียกว่า "ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต" หรือ ISP (Internet Service Provider) 
  • ปัจจุบัน (สิงหาคม 2558) ประเทศไทยมีความกว้างช่องสัญญาณ (Internet bandwidth) ภายในประเทศ2,768.895 Gbps และระหว่างประเทศ 1,954 Gbps





ประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์

เครือข่ายระดับท้องถิ่น (Local Area Network, LAN) เป็นเครือข่ายระยะใกล้ที่ประกอบด้วยกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ใช้งานต่าง ๆ  เครือข่ายนี้จะมีขนาดเล็ก โดยเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นจะเชื่อมต่อกันในรัศมีที่ใกล้ๆ คอมพิวเตอร์สามารถส่งข้อมูลถึงกันได้โดยไม่ต้องเชื่อมการติดต่อกับองค์การโทรศัพท์หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทย เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันนั้นอาจจะใช้ฮาร์ดแวร์และ/หรือซอฟต์แวร์ที่แตกต่างกันได้
ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลของเครือข่ายระดับท้องถิ่นนั้นเริ่มต้นที่ 10 Mbps
(เรียกอีกชื่อว่า Ethernet) ต่อมาได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เนื่องจากมีโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน ใช้งานได้ง่าย และเสียค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้เพิ่มขึ้นมาเป็น100 Mbps (เรียกอีกชื่อว่า Fast Ethernet) ปัจจุบัน ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลของเครือข่ายระดับท้องถิ่นมีมาตรฐานที่ 1000 Mbps หรือ 1 Gbps (เรียกอีกชื่อว่า Gigabit Ethernet) สามารถขยายขนาดของเครือข่ายออกไปได้ไกลสูงสุดประมาณ 10 กิโลเมตร

เครือข่ายระดับเมือง (Metropolitan Area Network, MAN) เป็นเครือข่ายระยะกลางที่ประกอบด้วยกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกันอยู่ โดยเครือข่ายนี้เป็นเครือข่ายขนาดกลาง ที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งเมืองหรือจังหวัดเข้าด้วยกัน เพื่อให้บริการต่าง ๆ เช่น การส่งสัญญาณเสียง, ภาพ,ภาพเคลื่อนไหว หรือ ข้อมูลต่าง ๆ ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลของเครือข่ายระดับเมืองเริ่มต้นตั้งแต่ 100 Mbpsจนถึง 1 Gbps โดยที่เครือข่ายสามารถขยายขนาดไปได้ไกล 100 กิโลเมตรหรือมากกว่านั้น โดยจะต้องมีการเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่ายขององค์การโทรศัพท์หรือองค์การสื่อสารแห่งประเทศไทย

เครือข่ายระยะไกล (Wide Area Network, WAN) เป็นเครือข่ายระยะไกล กล่าวคือ เครือข่าย
ระยะไกลนี้จะทำการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่อยู่ห่างไกลกันเข้าด้วยกัน ซึ่งการเชื่อมต่อนั้น อาจจะเป็นการติดต่อสื่อสารกันในระดับประเทศ ข้ามทวีป หรือทั่วโลกก็ได้ในการเชื่อมการติดต่อกันนั้น จะต้องมีการต่อเข้ากับระบบสื่อสารขององค์การโทรศัพท์หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทยเสียก่อน เพราะจะเป็นการส่งข้อมูลผ่านทางสายโทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารกัน



การใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต

1. จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (อีเมล, E-mail) เป็นบริการส่งจดหมายผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (เช่น Gmail, Hotmail)
2. เทลเน็ต (Telnet) เป็นบริการช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งที่อยู่ไกล ๆ เพื่อสั่งงานเสมือนว่าผู้ใช้นั่งสั่งงานอยู่ที่เครื่องเลย
3. การถ่ายโอนข้อมูล (File Transfer Protocol, FTP) เป็นบริการถ่ายโอนไฟล์ข้อมูล  ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์สองเครื่อง
4. ระบบส่งข้อความทันที(Instant messaging, Chat) เป็นบริการส่งข้อความผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์(เช่น Facebook Messenger, Line) ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจาก ผู้ใช้สามารถสนทนากันโดยพิมพ์ข้อความโต้ตอบ ไม่ต้องรอนานเหมือนส่งอีเมล
5. เว็บ (HyperText Transport Protocol, HTTP) เป็นมาตรฐานส าหรับการส่งข้อมูลหน้าเว็บ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานของการบริการเว็บที่เป็นที่นิยมหลายอย่าง เช่น
 - เว็บไซต์บริการการสืบค้นข้อมูล (เช่น Bing, Google)

 - เว็บไซต์บริการข้อมูลสังคมออนไลน์ (เช่น Facebook, Google+)
 - เว็บไซต์ให้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์(Electronic Commerce, E-Commerce) 
 - เว็บไซต์ให้ความบันเทิงบนอินเทอร์เน็ต
 - เว็บไซต์ที่ให้บริการด้านอื่น ๆ เช่น เว็บไซต์ส าหรับการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ เว็บไซต์สำหรับการจัดการบัญชี เว็บไซต์ส าหรับการวางแผนจัดการทรัพยากรภายในองค์กร



อุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อ

อุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์กับอินเทอร์เน็ต เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถ
เชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการเข้ากับอินเทอร์เน็ตได้







1. แผ่นวงจร LAN (LAN Card): เป็นแผ่นวงจรหรือการ์ดที่ใช้ในการต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับสายนำสัญญาณ ลักษณะของการ์ดจะเป็นแบบ PCI ที่ใช้เสียบเข้าในแผ่นวงจรหลัก (Mainboard) ของเครื่องคอมพิวเตอร์ อีกด้านหนึ่งของการ์ดจะมีช่องเสียบสำหรับสายนำสัญญาณหรือในบางรุ่นจะเป็นเสาอากาศสำหรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายปัจจุบัน แผ่นวงจรหลักของเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีการ์ดอยู่เรียบร้อยแล้ว โดยที่ผู้ใช้งานไม่จ าเป็นต้องซื้อการ์ดมาติดตั้งเพิ่มเติม เรียกว่า LAN Card on Board


2. อุปกรณ์จัดเส้นทาง (Router): เป็นอุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อเครือข่ายระยะไกลตั้งแต่สองเครือข่ายขึ้นไปเข้าด้วยกัน ในการเชื่อมต่อนี้ อุปกรณ์จัดเส้นทางจะทำหน้าที่ในการเลือกเส้นทางที่เหมาะสมมากที่สุดในการส่งข้อมูล โดยอาศัยตารางเส้นทาง (routing table) ที่มีอยู่ ในการทำงานจริงของอุปกรณ์จัดเส้นทางนั้น จะทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ ทำให้ผลลัพธ์ของการหาเส้นทางที่จะส่งข้อมูลได้เส้นทางที่สั้นที่สุด รวดเร็วที่สุด ซึ่งปัจจุบันสามารถใช้งานกับการทำงานในเวลาจริง (real time) ได้ เช่น การประชุมออนไลน์ การโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต

 3. โมเด็ม (Modem): มาจากคำว่า Modulation/Demodulation เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการแปลงสัญญาณดิจิทัล(digital) ให้เป็นแอนะล็อก(analog) และในทางตรงกันข้ามจะแปลงสัญญาณแอนะล็อกเป็นดิจิทัล โดยการทำ Modulation นั้น เป็นการแปลงสัญญาณดิจิทัลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทางให้กลายเป็นสัญญาณแอนะล็อก แล้วส่งไปตามสายโทรศัพท์ ส่วนการทำ Demodulation นั้นเป็นการเปลี่ยนจากสัญญาณแอนะล็อก ที่ได้จากสายโทรศัพท์ให้กลับไปเป็นสัญญาณดิจิทัล เพื่อส่งต่อไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทาง ซึ่งสัญญาณดิจิทัลนั้น เป็นสัญญาณของเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นได้แค่ 0 กับ 1 เท่านั้น ไม่สามารถส่งผ่านสายโทรศัพท์ได้ แต่สัญญาณแอนะล็อกเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่สามารถส่งผ่านสายโทรศัพท์ได้ โมเด็มมีหลายประเภท เช่น
  •  Analog Modem เป็นโมเด็มรุ่นแรก ๆ ที่ทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โมเด็มชนิดนี้จะใช้สายโทรศัพท์เป็นสายน าสัญญาณ (ดังตัวอย่างในรูปที่ 6 - 5)เนื่องจากต้องใช้สายโทรศัพท์ส่งข้อมูล เราจึงไม่สามารถใช้งานโมเด็มพร้อมกันกับการพูดคุยโทรศัพท์ได้ โดยมีความเร็วสูงสุดในการเชื่อมต่ออยู่ที่ 56 Kbps แต่ในการใช้งานจริง อาจจะเป็นไปไม่ได้เนื่องจากสภาพแวดล้อมและสภาพของสายโทรศัพท์นั่นเอง 
  • Cable Modem: เป็นโมเด็มที่สามารถรับ-ส่งข้อมูลดิจิทัลได้โดยตรง มีความเร็วการรับส่งข้อมูลสูง สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้หลากหลายประเภท เช่น ภาพและเสียง โมเด็มชนิดนี้จะใช้สายนำสัญญาณเป็นสายใยแก้วนำแสงและสายแกนร่วมมีความเร็วสูงสุดในการรับข้อมูลอยู่ที่ 10 Mbps และความเร็วสูงสุดในการส่งข้อมูลอยู่ที่ 2 Mbps
  • ADSL Modem: เป็นโมเด็มที่ทำหน้าที่ในการเชื่อมต่ออยู่กับเครือข่ายตลอดเวลา มีความเร็วในการเชื่อมต่อสูง สามารถรับส่งข้อมูลได้รวดเร็ว โมเด็มชนิดนี้จะใช้สายโทรศัพท์เป็นสายนำสัญญาณ แตกต่างจาก Analog Model ที่มีตัวกรองสัญญาณ (Phone Line Filter,) ที่สามารถแยกข้อมูลออกจากเสียงโทรศัพท์ ทำให้ผู้ใช้ยังสามารถพูดคุยโทรศัพท์ได้เป็นปกติขณะใช้งานอินเทอร์เน็ต ปัจจุบันได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะตัวเครื่องและอัตราค่าบริการที่ถูก
4. สายนำสัญญาณ หรือ สื่อกลาง (Media): ในการรับ-ส่งข้อมูลนั้น จะต้องอาศัยสื่อกลางในการส่งสัญญาณไฟฟ้าซึ่งบรรจุข้อมูลอยู่จากจุดส่งไปยังจุดรับ โดยสัญญาณไฟฟ้านี้อาจจะถูกส่งโดยแบบใช้สายเคเบิ้ล (wired) หรือแบบไร้สาย (wireless) 


  • สายคู่ตีเกลียว (Twisted Pair): เป็นสายทองแดงขนาดเล็กที่หุ้มด้วยฉนวนพลาสติก สายคู่ตีเกลียวที่นิยมใช้แบ่งได้ 2 ประเภท คือ                                    - สายคู่ตีเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (Unshielded Twisted Pair: UTP): เป็นสายที่ประกอบด้วยสายทองแดงขนาดเล็กหุ้มฉนวนจ านวน 8 เส้น แต่ละเส้นจะมีสีต่าง ๆ เพื่อบ่งชี้การท างานที่ชัดเจน สายประเภทนี้ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากใช้งานง่าย ติดตั้งได้ง่ายราคาถูก และสามารถรองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ต้องใช้ความเร็วสูงในการเชื่อมต่อได้ดี(สาย UTP มีอีกชื่อที่ถูกเรียกจนคุ้นหูคือ CAT5)                             - สายคู่ตีเกลียวชนิดหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair: STP): เป็นสายชนิดเดียวกันกับสายUTP แตกต่างกันตรงที่ แต่ละคู่ของสาย STP จะถูกหุ้มด้วยฉนวนหรือโลหะถัก (metalbraid) เพื่อป้องกันการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สายประเภทนี้สามารถใช้เดินได้ไกลกว่าสาย UTP แต่มีราคาแพงกว่า จึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก
  •  สายเคเบิลร่วมแกน (Coaxial Cable):                                 -เป็นสายนำสัญญาณเส้นเดี่ยว รอบนอกจะถูกห่อหุ้มด้วยโลหะถัก เพื่อป้องกันการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า                                                   -ใช้ในการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่น (LAN) หรือ การส่งข้อมูลระยะไกลระหว่างชุมสายโทรศัพท์ การส่งข้อมูลสัญญาณวีดิทัศน์ เป็นต้น           -แต่ในปัจจุบัน สายแกนร่วมนี้ไม่นิยมนำมาติดตั้งในระบบเครือข่าย LAN 
  • สายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic Cable): เป็นสายที่นำสัญญาณแสงแทนสัญญาณไฟฟ้า ใช้ในระบบเครือข่ายที่มีความเร็วสูงมาก เช่น Gigabit Ethernet โดยข้อมูลจะถูกแปลงจากสัญญาณไฟฟ้าเป็นสัญญาณแสงโดยใช้อุปกรณ์พิเศษเสียก่อน ลักษณะของสายจะเป็นสายพลาสติกที่ชั้นป้องกันหุ้มอยู่หลาย ๆ ชั้น ความเร็วในการส่งสัญญาณนั้นจะสูงมาก สามารถส่งข้อมูลในระยะไกล ๆ ได้ และไม่มีการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ปัญหาของสายใยแก้วนำแสงคือความเปราะบางของสาย ซึ่งมีโอกาสช ารุดได้ง่ายกว่า และราคาที่ยังค่อนข้างแพงอยู่ในปัจจุบัน
  • การสื่อสารแบบไร้สาย (Wireless): การส่งสัญญาณแบบไร้สายนั้น จะใช้คลื่นวิทยุ (Radio Frequency: RF) ในการรับ-ส่งข้อมูล โดยอาศัยอากาศเป็นตัวกลางในการกระจายสัญญาณดังกล่าว ประโยชน์ที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากการใช้เทคโนโลยีนี้ คือ การที่เราไม่ต้องวางสายเคเบิลนั่นเอง ซึ่งสามารถสร้างเครือข่ายในพื้นที่ที่ไม่เอื้ออำนวยได้ เช่น ในหอพักแห่งหนึ่งเป็นตึก 3 ชั้น มีผู้อาศัยอยู่ชั้นละ10 คน ซึ่งแต่ละคนสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยใช้เทคโนโลยีแบบไร้สายได้ โดยที่ไม่ต้องเดินสายเคเบิลใหม่


การเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต


  • การเชื่อมต่อด้วย Cable Modem เป็นบริการอินเทอร์เน็ตที่ส่วนใหญ่แล้ว มีความเร็วมากกว่า ADSL Modem สามหรือสี่เท่าโดย Modem ต้องเชื่อมต่อกับสายเคเบิลร่วมแกน มีบริษัทผู้ให้บริการ เช่น True Internet หรือ ipstar (ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านสัญญาณดาวเทียม)
  •  การเชื่อมต่อด้วย ADSL Modemเป็นบริการอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วตั้งแต่ 128Kbps ถึง 3 Mbps  โดย Modem ต้องเชื่อมต่อกับคู่สายโทรศัพท์บ้าน มีบริษัทผู้ให้บริการเช่น TOT, 3BB ซึ่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบ ADSL ส่วนใหญ่จะใช้มาตรฐาน PPPoE (Pointto-Point Protocol over Ethernet) ช่วยในการเชื่อมต่อจาก Modem ไปยังชุมสายของผู้ให้บริการ โดยผู้ใช้ต้องกรอกชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน
  • การเชื่อมต่อด้วย Fibre Optic Router เป็นบริการอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงกว่าแบบใช้สายเคเบิลร่วมแกนมาก (บางผู้ให้บริการสามารถให้ความเร็วถึง 1 Gbps) โดย Router ต้องเชื่อมต่อกับใยแก้วนำแสง มีบริษัทผู้ให้บริการ เช่น AIS Fibre Broadband


ผู้ให้บริการเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต

หน่วยงานราชการหรือสถาบันการศึกษา
ผู้ให้บริการที่เป็นหน่วยงานราชการหรือสถาบันการศึกษาโดยทั่วไปให้บริการกับสมาชิกที่อยู่ในหน่วยงานราชการหรือสถาบันการศึกษาเท่านั้น เช่น UniNet ให้บริการเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้แก่สถาบันการศึกษาที่เป็นสมาชิก

บริษัทผู้ให้บริการเชิงพาณิชย์
บริษัทผู้ให้บริการเชิงพาณิชย์จะให้บริการกับบุคคลทั่วไปหรือบริษัท ที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกเพื่อขอใช้
บริการเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยสมาชิกต้องมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายของผู้ให้บริการ และเสียค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ โดยอัตราค่าบริการจะขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละราย ซึ่งแต่ละบริษัทจะมีอัตราค่าบริการเป็นของตัวเอง ตัวอย่างบริษัทผู้ให้บริการเชิงพาณิชย์ที่มีอยู่ในประเทศไทย เช่น True Online,3BB, TOT Online, MaxNet, CS Loxinfo, KSC, CAT, Inet, และ TT&T
ข้อดีของการใช้บริการจากบริษัทผู้ให้บริการเชิงพาณิชย์คือ การให้บริการมีหลากหลายรูปแบบ สามารถรองรับกับความต้องการของผู้ใช้บริการแต่ละประเภทที่มีอยู่แตกต่างกัน เช่น ส่วนบุคคล บริษัท ร้านเกมส์ เป็นต้น




ขั้นตอนในการเลือก ISP
1. การบริการของ ISP ที่เลือกต้องมีความเสถียร การเชื่อมต่อไม่หลุดบ่อย ISP ควรมีตู้ชุมสาย หรือ มีจุดเชื่อมต่อสัญญาณอยู่ใกล้บ้านเรา เพราะความเสี่ยงที่สายเชื่อมต่อจะขาดมีน้อย
2. พิจารณาความเร็วในการรับส่งข้อมูลเพียงพอกับความต้องการ ทั้งความเร็วการ Download และ
Upload
3. เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับ ISP รายอื่น
4. พิจารณารูปแบบการติดตั้ง เป็น DSL, Cable, Fiber หรือ จานดาวเทียม
5. เปรียบเทียบข้อเสนอพิเศษและบริการหลังการขาย


จริยธรรมในการใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
1. เราต้องมีเหตุผล รู้จักใช้วิจารณญาณไตร่ตรองข้อมูลข่าวสาร ไม่หลงงมงาย มีความยับยั้งชั่งใจ ไม่ใช้อารมณ์และไม่เชื่อใครง่าย ๆ เช่น ไม่เชื่อใจเพื่อนที่รู้จักกันทางอินเทอร์เน็ตเพียงผิวเผิน จนให้ทั้งชื่อ, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์
2. มีความซื่อสัตย์ไม่เขียนข้อความที่เป็นเท็จ หรือ ไม่ให้ร้ายผู้อื่นทางอินเทอร์เน็ต
3. หลีกเลี่ยงการทะเลาะกับผู้อื่นในอินเทอร์เน็ต แสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาด้วยความสุภาพ
4. รู้จักกล่าวขอบคุณ ให้เครดิตหรืออ้างอิงแก่เจ้าของข้อมูล
5. รู้จักข่มใจไม่เข้าไปในเว็บไซต์ที่อาจท าให้เกิดความเสียหาย หรือความทุจริตทั้งปวง




บทที่ 4 โมเดิร์น OS และ โมเดิร์นแอพ

บทที่ 4 โมเดิร์น OS และ โมเดิร์นแอพ


วัตถุประสงค์

1. อธิบายความหมายและลักษณะของ software ได้
2. อธิบายและแยกประเภทของ Software ได้
3. ทราบถึงระบบปฏิบัติการต่างๆ
4. อธิบายแนวความคิดของผู้สร้างโปรแกรม Open Source ได้
5. สามารถเลือกใช้ OS และ Application ตามที่ต้องการใช้งานได้
6. อธิบายลิขสิทธิ์ Software แบบต่าง ๆ ได้


ความหมายของซอฟต์แวร์ ความสำคัญ

เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าประเภทหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้มันแตกต่างจากอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดอื่นนั่นก็คือ มันสามารถทำงานได้หลายอย่าง ตอบสนองความต้องการของผู้คนได้มากขึ้น การที่จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้นั้น มีส่วนสำคัญอยู่ 2 ประการคือ

Hardware (ฮาร์ดแวร์) ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ที่สามารถมองเห็นเป็น
รูปธรรม สามารถจับต้องได้ เช่น จอภาพ หน่วยประมวลผล (CPU) หน่วยความจำ (เช่น RAM) คีย์บอร์ด เม้าส์  เครื่องพิมพ์   สาย LAN   Router

Software (ซอฟต์แวร์) หรือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นชุดคำสั่งที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อให้คอมพิวเตอร์
ทำงานตามขั้นตอนที่เรากำหนด เป็นส่วนที่เชื่อมต่อการทำงาน ระหว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์ ถ้าคอมพิวเตอร์ไม่มีซอฟต์แวร์ก็เปรียบเสมือนคนที่มีแต่ร่างกายและอวัยวะภายใน แต่ไม่มีความคิดมาขับเคลื่อนให้ร่างกายเคลื่อนไหว

Firmware (เฟิร์มแวร์) เป็นโปรแกรมพิเศษที่นิสิตควรรู้จัก เฟิร์มแวร์เป็นชุดคำสั่งสำหรับควบคุมการ
ทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทไมโครคอนโทลเลอร์ เช่น เมื่อเราเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมา เราจะเห็นเฟริ์มแวร์ที่เรียกว่าโปรแกรม BIOS (Basic Input Output System) เริ่มทำงาน โดยเริ่มจากกระบวนการตรวจสอบตัวเองของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น ตรวจสอบ RAM Monitor Keyboard Harddisk


ประเภทของซอฟต์แวร์

เราแบ่งประเภทของซอฟต์แวร์ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ซอฟต์แวร์ระบบและซอฟต์แวร์ประยุกต์

ซอฟต์แวร์ระบบ (System software) คือซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการจัดการระบบคอมพ ิวเตอร์
จัดการอุปกรณ์รับเข้าและส่งออก การรับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระ (Keyboard) การแสดงผลบนจอภาพ การนำข้อมูลออกไปพิมพ์ยังเครื่องพิมพ์ การจัดเก็บข้อมูลเป็นแฟ้ม การเรียกค้นข้อมูล การสื่อสารข้อมูลในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการประสานงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ ซอฟต์แวร์ระบบจึงหมายถึงซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ ให้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพซอฟต์แวร์ระบบที่รู้จักกันดี คือ ระบบปฏิบัติการ (Operating system), ซอฟต์แวร์อรรถประโยชน์ (Utilitysoftware), และ โปรแกรมขับอุปกรณ์ (Device driver)

ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application software) คือ ซอฟต์แวร์ที่ถูกพัฒนาสำหรับผู้ใช้ เพื่อให้ผู้ใช้นำมาประยุกต์ใช้กับงานที่ต้องการ เช่น ซอฟต์แวร์ประมวลคำ ซอฟต์แวร์จัดเก็บภาษี ซอฟต์แวร์สินค้าคงคลัง
ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน ซอฟต์แวร์กราฟิก ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล เป็นต้น การทำงานใดๆ โดยใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์ จำเป็นต้องทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมของซอฟต์แวร์ระบบด้วย เช่น โปรแกรม MS Office ต้องทำงานในระบบ Windows เท่านั้น


ระบบปฏิบัติการ (Operating System)

ระบบปฏิบัติการ (Operating System, OS) เป็นชุดคำสั่งที่ใช้ในการควบคุมจัดการทรัพยากรฮาร์ดแวร์
โดยทำหน้าที่ในการเชื่อมการทำงานระหว่างฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์ประยุกต์ จัดการกระบวนการใช้ทรัพยากรระหว่างซอฟต์แวร์ประยุกต์และฮาร์ดแวร์ อีกทั้งยังเป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างผู้ใช้ให้ใช้งานฮาร์ดแวร์ที่มีในระบบคอมพิวเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบายยิ่งขึ้น


ประโยชน์ของระบบปฏิบัติการ

● ผู้ใช้งานสามารถเรียนรู้และใช้คอมพิวเตอร์ได้ง่ายและรวดเร็ว 
● ผู้ใช้งานสามารถเรียกใช้งานโปรแกรมได้พร้อมกันหลาย ๆ โปรแกรม 
● ผู้ผลิตโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับใช้งานเฉพาะด้านทำงานง่ายขึ้น

ประวัติความเป็นมาของระบบปฏิบัติการ

เครื่องคอมพิวเตอร์ยุคต้น ๆ ถูกสร้างเพื่อทำงานเฉพาะอย่าง เช่น เครื่องคิดเลข โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นดิจิตอลยุคแรก ๆ (ช่วง 1940s) ยังไม่มีระบบปฏิบัติการ

ช่วงแรกของระบบปฏิบัติการ (1955) เป็นช่วงที่การสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์มีต้นทุนสูง แต่ค่าแรงของคนมีราคาต่ำระบบปฏิบัติการถูกสร้างให้ผู้ใช้เข้าถึงเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ทีละคน (Single-user system)โดยสามารถประมวลผลแบบต่อเนื่อง (Batch processing) สามารถเก็บหลาย ๆ งานในหน่วยความจำ และยังสามารถสลับให้หน่วยประมวลผล (CPU) มาท างานแต่ละงาน (Multiprogramming)
ช่วงที่สองของระบบปฏิบัติการ (ช่วงปี 1970) เป็นช่วงที่การสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์มีต้นทุนปานกลางแต่ค่าแรงของคนสูงขึ้น ระบบปฏิบัติการชื่อ TSS/360 ท างานบนเครื่องเมนเฟรม อนุญาตให้คนเข้าใช้เครื่องได้พร้อม ๆ กัน (Timesharing)
ช่วงที่สามของระบบปฏิบัติการ (ช่วงปี 1981 ถึง ปัจจุบัน) เป็นช่วงที่การสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์มีต้นทุนถูกลงมาก แต่ค่าแรงของคนสูง IBM ได้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer, PC) โดยถูกออกแบบให้เป็นระบบของผู้ใช้คนเดียว โดยมีระบบปฏิบัติการชื่อ MS-DOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ไม่ซับซ้อนยุ่งยากเหมือนระบบปฏิบัติการของเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ก่อนหน้า (เนื่องจากไม่ต้องค านึงถึงการใช้ทรัพยากรร่วมกัน แต่ต้องคำนึงถึงผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่รู้ด้านเทคนิคมากขึ้น) หลังจากนั้น Apple ได้แนะน าเครื่อง Macintosh ที่มีระบบปฏิบัติการ Mac OS ที่มาพร้อมกับกราฟิกสำหรับผู้ใช้สั่งงาน (Graphical User Interface) แทนที่จะเป็นการใช้ค าสั่งที่เป็นตัวหนังสือราว ๆ ปี 1983 Richard Stallman ซึ่งขณะนั้นท างานที่ MIT ได้ริเริ่มโครงการ GNU ขึ้น โครงการนี้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ที่สมบูณ์ สำหรับแจกฟรีให้คนทั่วไปใช้แทนที่จะต้องเสียเงินซื้อระบบปฏิบัติการUNIXเมื่อปี 1985 Intel ได้ผลิตหน่วยประมวลผล Intel 80386 ขึ้นส่งผลให้ เครื่อง PC มีระบบปฏิบัติการที่ยอมให้โปรแกรมหลาย ๆ โปรแกรมทำงานได้พร้อม ๆ กัน (Multitasking OS) ซึ่งเป็นความสามารถที่เหมือนกับของเครื่องเมนเฟรม ซึ่งบริษัท Microsoft ได้สร้าง Windows NT ขึ้น ในขณะที่ บริษัท NeXT Computer ของSteve Jobs ได้เสนอระบบปฏิบัติการ NEXTSTEPในปี 1991 Linus Torvalds กับเพื่อน ๆ ที่รู้จักทาง Internet ได้นำเสนอเคอร์เนลรุ่นแรก (หรือ แก่นกลาง) ของระบบปฏิบัตการ Linux โดยเปิดเผยค าสั่งภายใน (ซอร์สโค้ด) ทั้งหมด ซึ่งภายหลังได้รวมกับซอฟต์แวร์ระบบของ GNU จนเป็นระบบปฏิบัติการที่สมบูรณ์อีกหนึ่งระบบ



คุณสมบัติและความสามารถของระบบปฏิบัติการ

UNIX ใช้กันมากในระบบคอมพิวเตอร์ที่มีผู้ใช้งานร่วมกันหลายราย (multiusers) โปรแกรมระบบนี้เขียนด้วยภาษาซี และถูกพัฒนาขึ้นโดยศูนย์วิจัยเบลล์ของบริษัท TT&T เริ่มใช้กันมาตั้งแต่ราวปลายทศวรรษ 1960ใช้ได้ทั้งกับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (ชนิด 32 บิต) มินิคอมพิวเตอร์และเมนเฟรม โปรแกรมระบบยูนิกซ์นั้นกำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นทุกที มีโปรแกรมสำเร็จรูปจำนวนมากที่เขียนภายใต้ระบบนี้ รองรับการทำงานแบบหลายผู้ใช้ หลายงาน(Multiuser/Multitasking) โดยที่ระบบมีวิธีการในการจำแนกผู้ใช้แต่ละคน ซึ่งใช้งานอยู่
บนระบบเดียวกันได้ โดยใช้ลักษณะของการแบ่งเวลา (Time sharing) และแบ่งทรัพยากร (Resource sharing)

BSD เป็นระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ที่พัฒนาและเผยแพร่โดย มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ จัดว่าเป็นยูนิกซ์ที่ใช้กันแพร่หลายสำหรับคอมพิวเตอร์ระดับเวิร์คสเตชัน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะสัญญาอนุญาตใช้งานของบีเอสดีนั้นไม่ยุ่งยาก ทำให้บริษัทอื่น ๆ นำเทคโนโลยีไปพัฒนาในช่วงคริสตทศวรรษที่ 80 จนสร้างความคุ้นเคยในวงกว้างในปัจจุบันพบว่ามีการปรับปรุงและพัฒนาระบบปฏิบัติการโดยใช้โอเพนซอร์สโค้ดของบีเอสดีเป็นแกนหลัก มียูนิกซ์จำพวก BSD ที่สามารถมามาลงกับ pc ทั่วไปและใช้งานเป็น server กันอย่างแพร่หลายเช่น FreeBSD, NetBSD

Solaris เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้ได้กับสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ แบบสปาร์ค และแบบ x86 (แบบเดียวกับในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วไป) รุ่นแรก ๆ ของโซลาริสนั้น ใช้ชื่อว่า ซันโอเอส (SunOS) โดยมีพื้นฐานมาจากยูนิกซ์ตระกูล BSD แต่ต่อมาในรุ่นที่ 5 ได้เปลี่ยนมาใช้โค้ดของ ซิสเต็มส์ไฟว์ (System V) แทน และเปลี่ยนชื่อมาเป็น โซลาริส ดังเช่นในปัจจุบัน 

Linux เป็นระบบปฏิบัติการ ซึ่งแต่เดิม Linus Torvalds ตั้งใจออกแบบ Linux ให้เป็นระบบปฏิบัติการแบบ UNIX ซึ่งสามารถใช้งานบนเครื่อง PC ธรรมดาที่เราใช้ตามบ้าน (หรือ เครื่องที่ใช้ CPU ตระกูล x86 เช่น80386, 486, Pentium เป็นต้น) แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาให้ใช้กับตัวประมวลผลตระกูลอื่นๆ เช่น Alpha chip ได้ด้วย โดยระบบปฏิบัติการนี้ถูกแจกให้ใช้งานฟรีรวมทั้งรหัสต้นแบบ (Source code) ก็เป็นที่เปิดเผย จึงเป็นที่นิยมและมีผู้นำไปพัฒนา Linux ของตนเองขึ้นใช้งานมากมาย รวมทั้งมีผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ประยุกต์ขึ้นใช้งานบนลีนุกซ์อีกมากมาย ที่สำคัญก็คือลีนุกซ์เป็นซอฟต์แวร์ภายใต้ลิขสิทธิ์ GPL สามารถใช้งานโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ

Windows เป็นระบบปฏิบัติการ ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟท์ เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985โดยรุ่นแรกของวินโดวส์ คือ วินโดวส์ 1.0) และครองความนิยมในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมากกว่า 90% ของการใช้งานทั่วโลก เนื่องจากความยากในการใช้งานดอสทำให้บริษัทไมโครซอฟท์ได้มีการพัฒนาระบบปฏิบัติการที่เรียกว่า Windows ที่มีลักษณะการสั่งงานแบบ Graphical User Interface (GUI) ที่นำรูปแบบของสัญลักษณ์ภาพกราฟิก เข้ามาแทนการป้อนคำสั่งทีละบรรทัด ซึ่งใกล้เคียงกับ MAC OS

OS X เป็นระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุดในตระกูลแมคโอเอสสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช วาง
จำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2001 ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ แกนกลาง ดาร์วิน (Darwin) ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมการทำงานแบบยูนิกซ์ที่เป็นโอเพนซอร์ส (เปิดเผยรหัสต้นฉบับ) และส่วนติดต่อผู้ใช้แบบ อควา(Aqua) ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของแอปเปิล ออกแบบมาให้มีเสถียรภาพสูง ใช้งานง่าย หน้าจอมีปุ่มหรือเครื่องมือเฉพาะที่จำเป็น เน้นงานประเภทกราฟิกและศิลปะเป็นหลัก ทั้งนี้รูปแบบการทำงานแบบต่าง ๆ ของ MAC OS X จะสนับสนุนแบบ GCI เช่นเดียวกับระบบปฏิบัติการWINDOWS 

iOS คือ ระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์พกพาที่ถูกพัฒนาขึ้นและจำหน่ายโดยบริษัทแอปเปิล (Apple) iOSเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยคุณสมบัติโดดเด่นของ iOS คือ เป็นระบบปฏิบัติการแบบ Single OS ที่ไม่ว่าจะเป็นไอโฟน ไอพอดทัช ไอแพด รุ่นใด ก็สามารถอัพเกรดระบบปฏิบัติการมาใช้ได้ในรูปแบบเดียวกันหมด นอกจากนี้iPhone ยังโดดเด่นด้วยแอพพลิเคชั่นมากมาย มีให้เลือกดาวน์โหลดกันเป็นล้านแอพฯ ครบครันทุกความต้องการการใช้งานโทรศัพท์ (ตั้งแต่ใช้โทรศัพท์, ใช้Chat, ใช้ส่ง SMS หรือ Email, ไปจนถึง ถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ) แต่ iOS ก็มีข้อเสียที่ระบบปฏิบัติการนี้ไม่สามารถที่จะเสริมเติมแต่งอะไรเข้าไปเพิ่มเติม นอกเหนือจากที่แอปเปิลจัดสรรมาให้เท่านั้น และแอปเปิลไม่อนุญาตให้นำ iOS ไปติดตั้งบนอุปกรณ์ที่ไม่ใช่อุปกรณ์ของแอปเปิล


Android OS คือระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพา เช่น โทรศัพท์มือถือ,แท็บเล็ต,คอมพิวเตอร์และเน็ตบุ๊ก เริ่มพัฒนาโดยบริษัทแอนดรอยด์ โดยมีรากฐานมาจาก Linux จากนั้นบริษัทแอนดรอยด์ถูกซื้อโดยกูเกิล และทางกูเกิลได้นำแอนดรอยด์ไปพัฒนาต่อ ส่วนด้านลิขสิทธิ์ของโค้ดแอนดรอยด์ จะใช้ในลักษณะของซอฟต์แวร์เสรีหรือโอเพนซอร์ส (Open Source) ทำให้นักพัฒนาสามารถแก้ไข ดัดแปลงโค้ดแอนดรอยด์ได้อย่างอิสระ และที่สำคัญคือแจกฟรี จึงทำให้ค่ายผู้ผลิตมือถือต่าง ๆ สนใจนำระบบปฏิบัติการนี้ไปใส่ลงในมือถือของตน
ตั้งแต่ค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung, LG, HTC, Sony Ericsson, Motorola หรือแม้กระทั่งแบรนด์ไทย ๆ อย่าง iMobile

Windows Phone เป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Microsoft ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ผลิตสำหรับนำไปใช้กับอุปกรณ์ Mobile เช่น HTC และ Samsung บางรุ่น ข้อดีคือ สามารถทำงานร่วมกับ Application ของ Microsoft ได้ดีเช่น Microsoft Exchange, Microsoft Office และ Microsoft Outlook ข้อเสียคือ มีApplication ให้เลือกน้อย โปรแกรม Web Brower ตอบสนองไม่รวดเร็ว ปัจจุบัน
Microsoft ได้พัฒนา Windows 10 Mobile ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับสมาร์ทโฟนที่ถูกใช้แทน Windows Mobile และ Windows Phone



ซอฟต์แวร์ประยุกต์พื้นฐาน

ซอฟต์แวร์ประยุกต์พื้นฐาน (Basic application) หรือบางครั้งเรียกว่า ซอฟต์แวร์ประยุกต์อเนกประสงค์(General-purpose application) หรือซอฟต์แวร์ประยุกต์ช่วยเพิ่มผลผลิต (Productivity application) เป็นซอฟต์แวร์ที่นิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ ซอฟต์แวร์ประมวลคำ ซอฟต์แวร์ตารางทำการ ซอฟต์แวร์นำเสนอ ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล และซอฟต์แวร์สื่อสารข้อมูล


ลิขสิทธิ์ และ ใบอนุญาตซอฟต์แวร์ (software license / license)

“ลิขสิทธิ์” ตามความหมายจากเว็บวิกิพีเดีย หมายถึง สิทธิแต่ผู้เดียวที่กฎหมายรับรองให้ผู้สร้างสรรค์การกระทำใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ตนได้ทำขึ้น อันได้แก่ สิทธิที่จะทำซ้ำ ดัดแปลง หรือนำออกโฆษณา ไม่ว่าในรูปลักษณะอย่างใดหรือวิธีใด รวมทั้งอนุญาตให้ผู้อื่นนำงานไปทำเช่นว่านั้นด้วย



ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์แบ่งตามลักษณะการคุ้มครอง

ซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ (Commercial software, License software) เป็นซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ที่ผลิตขึ้นเพื่อจำหน่ายหรือมีจุดประสงค์เพื่อเชิงการค้า (ผู้ใช้ต้องซื้อค่าลิขสิทธิ์) ตัวอย่างซอฟต์แวร์ประเภทนี้ได้แก่ระบบปฏิบัติการ Windows, ระบบปฏิบัติการ Mac OS X, Microsoft Office, โปรแกรมของบริษัท Adobe เช่น Photoshop เป็นต้น

จริยธรรมในการใช้ซอฟต์แวร์

ในการติดตั้งซอฟต์แวร์ลงในคอมพิวเตอร์นอกจากจะคำนึงถึงเรื่องวัตถุประสงค์ในการใช้งานแล้ว สิ่งที่
สำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงนั่นก็คือ เรามีสิทธิ์ติดตั้งและใช้งานซอฟต์แวร์เหล่านั้นได้หรือไม่ เนื่องจากซอฟต์แวร์ทุกประเภทจะมีสิทธิ์ในการใช้ซอฟต์แวร์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ เนื่องจากซอฟต์แวร์ที่ใช้อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 (ในปีพ.ศ. 2550 ประเทศไทยถูกจัดไว้เป็นอันดับ 4 ในเอเซียแปซิฟิกที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์สูงสุด)






บทที่3 แกดเจ็ต

บทที่3 แกดเจ็ต 

วัตถุประสงค์ 

1. รู้จักอุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัยในชีวิตประจ ำวัน 
2. เข้ำใจการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม 
3. พิจารณาเลือกใช้อย่างคุ้มค่า
4. น ำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้
5. แนะนำผู้อื่นให้สามารถพิจารณาเทคโนโลยีที่เหมาะสม 


อุปกรณ์ใน Real World 

ในการใช้งานคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้มักพบว่าไม่ใช่เฉพาะคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ยังมีอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ถูก สร้างขึ้นเพื่อใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับมนุษย์ในการดำรงชีวิต อุปกรณ์เหล่านี้จะ ถูกออกแบบให้มีการเพิ่มเทคโนโลยีเข้าไป เช่น นาฬิกาข้อมือ รองเท้ากีฬา เป็นต้น


ความต้องการทางด้านการใช้งานระบบ (Usability Requirements) 

1. หลักของการออกแบบที่เรียกว่า เป็นมิตรกับผู้ใช้ (User Friendliness) 
2. กำรตอบสนองต่อทุกความต้องการของผู้ใช้ 
3. ระบบที่มีประสิทธิภาพต้องให้ความรู้สึกดีต่อกำรใช้งาน ให้ผู้ใช้รู้สึกว่าใช้แล้วช่วยให้การทำงาน ประจำวันสะดวกมากขึ้น 
4. ผู้ใช้มีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้งานระบบ ไม่สับสนในรูปแบบการใช้งานจากการเลือกคำสั่งในการ ทำงานต่าง ๆ
5. การออกแบบระบบการโต้ตอบกับผู้ใช้ที่ประสบความสำเร็จ ต้องทำให้ผู้ใช้เกิดความรู้สึกว่าไม่ได้ใช้งาน ระบบการเชื่อมต่อนั้น แต่สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือคำสั่งในการทำงานได้ทันที 



มาตรการในการตรวจวัดความสามารถในการใช้งานของระบบ (Usability Measures)

ส่วนประกอบสำคัญ 5 ประการในการออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ใช้เป็นสำคัญได้แก่
1. ระยะเวลาในการเรียนรู้ (Time to Learn)
2. ความรวดเร็วในการประมวลผล (Speed of Performance) 
3. อัตราความผิดพลาดจากการใช้งาน (Rate of Errors) 
4. การเรียนรู้ (Retention Over Time)
5. การวัดความพึงพอใจของผู้ใช้ (Subjective Satisfaction) 


Gadget คืออะไร
คำอ่าน “แกดเจ็ต” หมายถึงเครื่องมือขนาดเล็ก ที่มีความทันสมัยแปลกใหม่ มีฟังก์ชันการใช้งานเฉพาะอย่าง ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมการทำงานของอุปกรณ์หลัก อุปกรณ์เหล่านี้อาจจะใช้หรือไม่ใช้ไฟฟ้าก็ได้ ในบางครั้งแกดเจ็ตที่เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มักจะถูกเรียกแทนว่า “กิซมอส” (Gizmos)


Application gadgets
ความหมายแอปพลิเคชันแกดเจ็ต
แอปพลิเคชันแกดเจ็ต คือซอฟต์แวร์ขนาดเล็กที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือในการดำเนินการต่างๆ บางครั้งอาจเรียกว่า วิดเจ็ต (Widget) แนวคิดของการสร้างแอปพลิเคชันแกดเจ็ต เกิดจากการใช้งานซอฟต์แวร์บนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ที่ต้องการผู้ช่วยในการแจ้งเตือน แจ้งข้อมูล หรือการทำงานในบางส่วนของแอปพลิเคชัน ที่ต้องการแสดงบนหน้าจอ ตัวอย่างของแอปพลิเคชันแกดเจ็ต เช่น การแจ้งสภาพอากาศ การแจ้งอีเมลล่าสุด ปฏิทิน เป็นต้น


Hardware Gadgets

ฮำร์ดแวร์แกดเจ็ต ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์แบบอิเล็กทรอนิกส์ใช้กับคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนหรือไม่ใช่ก็ตาม เป็นอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกับกิจกรรมในชีวิตประจำวันของมนุษย์ 


Gadgets เกี่ยวกับอุปกรณ์ด้านเทคโนโลยี

1. LittleBits Gadgets & Gizmos
2. Apple Watch
3. Action cams


Gadgets เกี่ยวกับอุปกรณ์ภายในบ้าน (Smart Home Gadgets)

1. WATER SAVING GADGETS FOR YOUR HOME
2. เครื่องปรับอากาศอัจฉริยะ
3. ตู้เย็นอัจฉริยะ
4. สมำร์ททีวี(Smart TV)


Gadgets เกี่ยวกับสุขภาพ

1. Fitbit Force
2. Finis Neptune อุปกรณ์ฟังเพลงใต้น้ำ
3. Kolibree แปรงสีฟันอัจริยะ


Gadgets สำหรับผู้พิการ

1. DOT
2. AXS map
3. Kenguru Electric Car



แนวคิดการใช้แกดเจ็ตในชีวิตประจำวัน

เหมาะสมกับโอกาสและสถานการณ์อันเนื่องมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการเชื่อมต่อความเร็วสูงที่ทำให้อินเทอร์เน็ตเข้าไปสู่ประชาชนทุกอายุทุกเพศทุกวัย ดังนั้นจึงทำให้เกิดเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์ นับตั้งแต่ตื่นจนกระทั้งเข้านอนในแต่ละวัน ความเหมาะสมในการเลือกใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นสิ่งที่เราจะต้องมีการเลือกใช้ให้เหมาะกับตนเอง ไม่ใช่ว่าเราจะต้องตามเทคโนโลยีทั้งหมด โดยไม่ดูบริบทของตนเอง มีบางคนที่อาจจะซื้อมือถือในราคาสูง แต่ไม่เคยใช้อะไรมากกว่ากำรรับสายโทรศัพท์และการดูตารางนัดหมาย แต่ไม่เคยใช้เทคโนโลยีอื่นเลย

ดังนั้นในการเลือกใช้แกดเจ็ตที่เหมาะสม จะต้องพิจารณา 3 ด้านต่อไปนี้
1. รูปแบบการใช้งาน
2. ความพร้อมของทุนทรัพย์
3. ความเหมาะสม


ปัญหาของการใช้โปรศัพท์มือถือในปัจจุบัน
    
     เด็กและเยำวชนส่วนใหญ่มีโทรศัพท์มือถือใช้งานตั้งแต่อายุยังน้อย และโทรศัพท์มีราคามากกว่า 1-2 หมื่นบาท และใช้เวลากับโทรศัพท์มือถือวันละมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุย ส่งข้อความ เล่นเกมบนมือถือ ถ่ายรูป ถ่ายคลิปวิดีโอ ฟังเพลง รับข่าวสาร ปัจจุบันนี้ โทรศัพท์มือถือทำอะไรได้มากมายเรียกว่าสมาร์ทโฟน (Smart Phone)เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ การคุยกันด้วยสมาร์ทโฟนสมัยนี้ ก็กลายเป็นแบบเรียลไทม์ เฟซทูเฟซ (real time face to face) คือถ่ายทอดสดทั้งภาพและเสียงของคู่สนทนา ผ่านระบบเครือข่ายสามจี (3G) กลายเป็นของเล่น เป็นแฟชั่นของคนรุ่นใหม่เลยทีเดียว