วัตถุประสงค์
1. อธิบายความหมายและข้อแตกต่างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตได้
2. สามารถใช้งาน เครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตในด้านต่าง ๆ
3. รู้จักอุปกรณ์เครือข่าย และการเชื่อมต่อประเภทต่าง ๆ
4. รู้จักผู้ให้บริการและสามารถเลือก ISP ที่เหมาะสมกับการใช้งานของตนเองได้
5. จริยธรรมในการใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
เครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ประกอบด้วย เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปมาเชื่อมต่อกัน โดยอาศัยอุปกรณ์ทางด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในการเชื่อมต่อกัน วัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์
เครือข่ายอินเทอร์เน็ต คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์จ านวนมากที่เชื่อมต่อกันครอบคลุมไปทั่วโลก โดยอินเทอร์เน็ตเป็นทั้งเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายของเครือข่าย เนื่องจากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตประกอบไปด้วยเครือข่ายย่อยเป็นจ านวนมากต่อเชื่อมเข้าด้วยกัน
เกณฑ์ชี้วัดความเร็วอินเทอร์เน็ต (ความกว้างของแถบความถี่ หรือ Bandwidth)
การใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน มีข้อมูลที่เป็นมัลติมีเดียมากมาย ทั้งวิดีโอ เพลง ฯลฯ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ ดังนั้น ความเร็วในการเชื่อมต่อ เพื่อ Download และ Upload ข้อมูลจึงเป็นสิ่งสำคัญ และ ถูกนำมาใช้เป็นตัววัดระดับค่าบริการ
เราสามารถตรวจสอบความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยแบ่งเป็น ความเร็วที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราหรือที่เรียกว่าลูกข่าย (Client) รับส่งข้อมูลกับเครื่องแม่ข่ายหรือเครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Server) โดยระบบจะทำการเช็คความเร็วการรับข้อมูลหรือที่เรียกว่า ความเร็วในการดาวน์โหลด (Download Speed) และ ความเร็วในการส่งข้อมูลไปยังเครื่องเซิร์ฟเวอร์หรือที่เรียกว่า ความเร็วในการอัพโหลด (Upload Speed)
ส่วนใหญ่เราจะได้ยินค าว่า Bandwidth เป็นตัวบอกของเร็วของการส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต แต่จริง ๆ แล้ว หน่วยวัดเป็น bps ย่อมาจาก Bits Per Second (บิตต่อวินาที) นั่นหมายความว่าในหนึ่งวินาทีสามารถรับส่ง
ข้อมูลได้เท่าไรนั่นเอง
เครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตในอดีตและปัจจุบัน [1-3]
- อินเทอร์เน็ตกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณปีค.ศ.1969 หรือประมาณปีพ.ศ. 2512 โดยพัฒนามาจาก อาร์พาเน็ต (ARPAnet)
- อาร์พาเน็ตในขั้นต้นเป็นเพียงเครือข่ายทดลอง ตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนงานวิจัยด้านการทหาร
- ในปี 2533 มีหลายองค์กรใช้เครือข่ายอาร์พาเน็ตมากขึ้น จนรองรับเป็น backboneต่อไปไม่ไหว อาร์พาเน็ตจึงยุติบทบาทลง และ สหรัฐ ฯ จึงเปลี่ยนไปใช้NFSNET และเครือข่ายอื่น ๆ เป็นเครือข่าย backbone แทน นอกจากนี้ ได้มีการเชื่อมเครือข่ายต่าง ๆ ท าให้เครือข่ายมีขนาดใหญ่มากขึ้นจนเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันนี้
- อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้ท าการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับมหาวิทยาลัย 6 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT), มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, สถาบันเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC), มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เข้าด้วยกันเรียกว่า"เครือข่ายไทยสาร"
- การใช้งานอินเทอร์เน็ตชนิดเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง ในประเทศไทยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2535
- ในปีเดียวกัน ได้มีหน่วยงานที่เชื่อมต่อแบบออนไลน์กับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่าน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลายแห่งด้วยกันโดยเรียกเครือข่ายนี้ว่าเครือข่าย “ไทยเน็ต” (THAInet) ซึ่งนับเป็นเครือข่ายที่มี “เกตเวย์” (Gateway) หรือประตูสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นแห่งแรกของประเทศไทย
- ปี พ.ศ. 2537 ความ ต้องการในการใช้อินเทอร์เน็ตจากภาคเอกชนมีมาก ขึ้นการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท) จึงได้ร่วมมือกับบริษัทเอกชน เปิดบริการอินเทอร์เน็ต ให้แก่บุคคลผู้สนใจทั่วไปได้สมัครเป็นสมาชิก โดยตั้งขึ้นในรูปแบบของบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ เรียกว่า "ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต" หรือ ISP (Internet Service Provider)
- ปัจจุบัน (สิงหาคม 2558) ประเทศไทยมีความกว้างช่องสัญญาณ (Internet bandwidth) ภายในประเทศ2,768.895 Gbps และระหว่างประเทศ 1,954 Gbps
ประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายระดับท้องถิ่น (Local Area Network, LAN) เป็นเครือข่ายระยะใกล้ที่ประกอบด้วยกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ใช้งานต่าง ๆ เครือข่ายนี้จะมีขนาดเล็ก โดยเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นจะเชื่อมต่อกันในรัศมีที่ใกล้ๆ คอมพิวเตอร์สามารถส่งข้อมูลถึงกันได้โดยไม่ต้องเชื่อมการติดต่อกับองค์การโทรศัพท์หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทย เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันนั้นอาจจะใช้ฮาร์ดแวร์และ/หรือซอฟต์แวร์ที่แตกต่างกันได้
ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลของเครือข่ายระดับท้องถิ่นนั้นเริ่มต้นที่ 10 Mbps
(เรียกอีกชื่อว่า Ethernet) ต่อมาได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เนื่องจากมีโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน ใช้งานได้ง่าย และเสียค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้เพิ่มขึ้นมาเป็น100 Mbps (เรียกอีกชื่อว่า Fast Ethernet) ปัจจุบัน ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลของเครือข่ายระดับท้องถิ่นมีมาตรฐานที่ 1000 Mbps หรือ 1 Gbps (เรียกอีกชื่อว่า Gigabit Ethernet) สามารถขยายขนาดของเครือข่ายออกไปได้ไกลสูงสุดประมาณ 10 กิโลเมตร
เครือข่ายระดับเมือง (Metropolitan Area Network, MAN) เป็นเครือข่ายระยะกลางที่ประกอบด้วยกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกันอยู่ โดยเครือข่ายนี้เป็นเครือข่ายขนาดกลาง ที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งเมืองหรือจังหวัดเข้าด้วยกัน เพื่อให้บริการต่าง ๆ เช่น การส่งสัญญาณเสียง, ภาพ,ภาพเคลื่อนไหว หรือ ข้อมูลต่าง ๆ ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลของเครือข่ายระดับเมืองเริ่มต้นตั้งแต่ 100 Mbpsจนถึง 1 Gbps โดยที่เครือข่ายสามารถขยายขนาดไปได้ไกล 100 กิโลเมตรหรือมากกว่านั้น โดยจะต้องมีการเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่ายขององค์การโทรศัพท์หรือองค์การสื่อสารแห่งประเทศไทย
เครือข่ายระยะไกล (Wide Area Network, WAN) เป็นเครือข่ายระยะไกล กล่าวคือ เครือข่าย
ระยะไกลนี้จะทำการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่อยู่ห่างไกลกันเข้าด้วยกัน ซึ่งการเชื่อมต่อนั้น อาจจะเป็นการติดต่อสื่อสารกันในระดับประเทศ ข้ามทวีป หรือทั่วโลกก็ได้ในการเชื่อมการติดต่อกันนั้น จะต้องมีการต่อเข้ากับระบบสื่อสารขององค์การโทรศัพท์หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทยเสียก่อน เพราะจะเป็นการส่งข้อมูลผ่านทางสายโทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารกัน
การใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
1. จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (อีเมล, E-mail) เป็นบริการส่งจดหมายผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (เช่น
Gmail, Hotmail)
2. เทลเน็ต (Telnet) เป็นบริการช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งที่อยู่ไกล ๆ เพื่อสั่งงานเสมือนว่าผู้ใช้นั่งสั่งงานอยู่ที่เครื่องเลย
3. การถ่ายโอนข้อมูล (File Transfer Protocol, FTP) เป็นบริการถ่ายโอนไฟล์ข้อมูล ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์สองเครื่อง
4. ระบบส่งข้อความทันที(Instant messaging, Chat) เป็นบริการส่งข้อความผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์(เช่น Facebook Messenger, Line) ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจาก ผู้ใช้สามารถสนทนากันโดยพิมพ์ข้อความโต้ตอบ ไม่ต้องรอนานเหมือนส่งอีเมล
5. เว็บ (HyperText Transport Protocol, HTTP) เป็นมาตรฐานส าหรับการส่งข้อมูลหน้าเว็บ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานของการบริการเว็บที่เป็นที่นิยมหลายอย่าง เช่น
- เว็บไซต์บริการการสืบค้นข้อมูล (เช่น Bing, Google)
- เว็บไซต์บริการข้อมูลสังคมออนไลน์ (เช่น Facebook, Google+)
- เว็บไซต์ให้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์(Electronic Commerce, E-Commerce)
- เว็บไซต์ให้ความบันเทิงบนอินเทอร์เน็ต
- เว็บไซต์ที่ให้บริการด้านอื่น ๆ เช่น เว็บไซต์ส าหรับการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ เว็บไซต์สำหรับการจัดการบัญชี เว็บไซต์ส าหรับการวางแผนจัดการทรัพยากรภายในองค์กร
อุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อ
อุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์กับอินเทอร์เน็ต เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถ
เชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการเข้ากับอินเทอร์เน็ตได้
1. แผ่นวงจร LAN (LAN Card): เป็นแผ่นวงจรหรือการ์ดที่ใช้ในการต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับสายนำสัญญาณ ลักษณะของการ์ดจะเป็นแบบ PCI ที่ใช้เสียบเข้าในแผ่นวงจรหลัก (Mainboard) ของเครื่องคอมพิวเตอร์ อีกด้านหนึ่งของการ์ดจะมีช่องเสียบสำหรับสายนำสัญญาณหรือในบางรุ่นจะเป็นเสาอากาศสำหรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายปัจจุบัน แผ่นวงจรหลักของเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีการ์ดอยู่เรียบร้อยแล้ว โดยที่ผู้ใช้งานไม่จ าเป็นต้องซื้อการ์ดมาติดตั้งเพิ่มเติม เรียกว่า LAN Card on Board
2. อุปกรณ์จัดเส้นทาง (Router): เป็นอุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อเครือข่ายระยะไกลตั้งแต่สองเครือข่ายขึ้นไปเข้าด้วยกัน ในการเชื่อมต่อนี้ อุปกรณ์จัดเส้นทางจะทำหน้าที่ในการเลือกเส้นทางที่เหมาะสมมากที่สุดในการส่งข้อมูล โดยอาศัยตารางเส้นทาง (routing table) ที่มีอยู่ ในการทำงานจริงของอุปกรณ์จัดเส้นทางนั้น จะทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ ทำให้ผลลัพธ์ของการหาเส้นทางที่จะส่งข้อมูลได้เส้นทางที่สั้นที่สุด รวดเร็วที่สุด ซึ่งปัจจุบันสามารถใช้งานกับการทำงานในเวลาจริง (real time) ได้ เช่น การประชุมออนไลน์ การโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต
3. โมเด็ม (Modem): มาจากคำว่า Modulation/Demodulation เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการแปลงสัญญาณดิจิทัล(digital) ให้เป็นแอนะล็อก(analog) และในทางตรงกันข้ามจะแปลงสัญญาณแอนะล็อกเป็นดิจิทัล โดยการทำ Modulation นั้น เป็นการแปลงสัญญาณดิจิทัลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทางให้กลายเป็นสัญญาณแอนะล็อก แล้วส่งไปตามสายโทรศัพท์ ส่วนการทำ Demodulation นั้นเป็นการเปลี่ยนจากสัญญาณแอนะล็อก ที่ได้จากสายโทรศัพท์ให้กลับไปเป็นสัญญาณดิจิทัล เพื่อส่งต่อไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทาง ซึ่งสัญญาณดิจิทัลนั้น เป็นสัญญาณของเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นได้แค่ 0 กับ 1 เท่านั้น ไม่สามารถส่งผ่านสายโทรศัพท์ได้ แต่สัญญาณแอนะล็อกเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่สามารถส่งผ่านสายโทรศัพท์ได้ โมเด็มมีหลายประเภท เช่น
- Analog Modem เป็นโมเด็มรุ่นแรก ๆ ที่ทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โมเด็มชนิดนี้จะใช้สายโทรศัพท์เป็นสายน าสัญญาณ (ดังตัวอย่างในรูปที่ 6 - 5)เนื่องจากต้องใช้สายโทรศัพท์ส่งข้อมูล เราจึงไม่สามารถใช้งานโมเด็มพร้อมกันกับการพูดคุยโทรศัพท์ได้ โดยมีความเร็วสูงสุดในการเชื่อมต่ออยู่ที่ 56 Kbps แต่ในการใช้งานจริง อาจจะเป็นไปไม่ได้เนื่องจากสภาพแวดล้อมและสภาพของสายโทรศัพท์นั่นเอง
- Cable Modem: เป็นโมเด็มที่สามารถรับ-ส่งข้อมูลดิจิทัลได้โดยตรง มีความเร็วการรับส่งข้อมูลสูง สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้หลากหลายประเภท เช่น ภาพและเสียง โมเด็มชนิดนี้จะใช้สายนำสัญญาณเป็นสายใยแก้วนำแสงและสายแกนร่วมมีความเร็วสูงสุดในการรับข้อมูลอยู่ที่ 10 Mbps และความเร็วสูงสุดในการส่งข้อมูลอยู่ที่ 2 Mbps
- ADSL Modem: เป็นโมเด็มที่ทำหน้าที่ในการเชื่อมต่ออยู่กับเครือข่ายตลอดเวลา มีความเร็วในการเชื่อมต่อสูง สามารถรับส่งข้อมูลได้รวดเร็ว โมเด็มชนิดนี้จะใช้สายโทรศัพท์เป็นสายนำสัญญาณ แตกต่างจาก Analog Model ที่มีตัวกรองสัญญาณ (Phone Line Filter,) ที่สามารถแยกข้อมูลออกจากเสียงโทรศัพท์ ทำให้ผู้ใช้ยังสามารถพูดคุยโทรศัพท์ได้เป็นปกติขณะใช้งานอินเทอร์เน็ต ปัจจุบันได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะตัวเครื่องและอัตราค่าบริการที่ถูก
- สายคู่ตีเกลียว (Twisted Pair): เป็นสายทองแดงขนาดเล็กที่หุ้มด้วยฉนวนพลาสติก สายคู่ตีเกลียวที่นิยมใช้แบ่งได้ 2 ประเภท คือ - สายคู่ตีเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (Unshielded Twisted Pair: UTP): เป็นสายที่ประกอบด้วยสายทองแดงขนาดเล็กหุ้มฉนวนจ านวน 8 เส้น แต่ละเส้นจะมีสีต่าง ๆ เพื่อบ่งชี้การท างานที่ชัดเจน สายประเภทนี้ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากใช้งานง่าย ติดตั้งได้ง่ายราคาถูก และสามารถรองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ต้องใช้ความเร็วสูงในการเชื่อมต่อได้ดี(สาย UTP มีอีกชื่อที่ถูกเรียกจนคุ้นหูคือ CAT5) - สายคู่ตีเกลียวชนิดหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair: STP): เป็นสายชนิดเดียวกันกับสายUTP แตกต่างกันตรงที่ แต่ละคู่ของสาย STP จะถูกหุ้มด้วยฉนวนหรือโลหะถัก (metalbraid) เพื่อป้องกันการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สายประเภทนี้สามารถใช้เดินได้ไกลกว่าสาย UTP แต่มีราคาแพงกว่า จึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก
- สายเคเบิลร่วมแกน (Coaxial Cable): -เป็นสายนำสัญญาณเส้นเดี่ยว รอบนอกจะถูกห่อหุ้มด้วยโลหะถัก เพื่อป้องกันการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า -ใช้ในการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่น (LAN) หรือ การส่งข้อมูลระยะไกลระหว่างชุมสายโทรศัพท์ การส่งข้อมูลสัญญาณวีดิทัศน์ เป็นต้น -แต่ในปัจจุบัน สายแกนร่วมนี้ไม่นิยมนำมาติดตั้งในระบบเครือข่าย LAN
- สายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic Cable): เป็นสายที่นำสัญญาณแสงแทนสัญญาณไฟฟ้า ใช้ในระบบเครือข่ายที่มีความเร็วสูงมาก เช่น Gigabit Ethernet โดยข้อมูลจะถูกแปลงจากสัญญาณไฟฟ้าเป็นสัญญาณแสงโดยใช้อุปกรณ์พิเศษเสียก่อน ลักษณะของสายจะเป็นสายพลาสติกที่ชั้นป้องกันหุ้มอยู่หลาย ๆ ชั้น ความเร็วในการส่งสัญญาณนั้นจะสูงมาก สามารถส่งข้อมูลในระยะไกล ๆ ได้ และไม่มีการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ปัญหาของสายใยแก้วนำแสงคือความเปราะบางของสาย ซึ่งมีโอกาสช ารุดได้ง่ายกว่า และราคาที่ยังค่อนข้างแพงอยู่ในปัจจุบัน
- การสื่อสารแบบไร้สาย (Wireless): การส่งสัญญาณแบบไร้สายนั้น จะใช้คลื่นวิทยุ (Radio Frequency: RF) ในการรับ-ส่งข้อมูล โดยอาศัยอากาศเป็นตัวกลางในการกระจายสัญญาณดังกล่าว ประโยชน์ที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากการใช้เทคโนโลยีนี้ คือ การที่เราไม่ต้องวางสายเคเบิลนั่นเอง ซึ่งสามารถสร้างเครือข่ายในพื้นที่ที่ไม่เอื้ออำนวยได้ เช่น ในหอพักแห่งหนึ่งเป็นตึก 3 ชั้น มีผู้อาศัยอยู่ชั้นละ10 คน ซึ่งแต่ละคนสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยใช้เทคโนโลยีแบบไร้สายได้ โดยที่ไม่ต้องเดินสายเคเบิลใหม่
การเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
- การเชื่อมต่อด้วย Cable Modem เป็นบริการอินเทอร์เน็ตที่ส่วนใหญ่แล้ว มีความเร็วมากกว่า ADSL Modem สามหรือสี่เท่าโดย Modem ต้องเชื่อมต่อกับสายเคเบิลร่วมแกน มีบริษัทผู้ให้บริการ เช่น True Internet หรือ ipstar (ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านสัญญาณดาวเทียม)
- การเชื่อมต่อด้วย ADSL Modemเป็นบริการอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วตั้งแต่ 128Kbps ถึง 3 Mbps โดย Modem ต้องเชื่อมต่อกับคู่สายโทรศัพท์บ้าน มีบริษัทผู้ให้บริการเช่น TOT, 3BB ซึ่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบ ADSL ส่วนใหญ่จะใช้มาตรฐาน PPPoE (Pointto-Point Protocol over Ethernet) ช่วยในการเชื่อมต่อจาก Modem ไปยังชุมสายของผู้ให้บริการ โดยผู้ใช้ต้องกรอกชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน
- การเชื่อมต่อด้วย Fibre Optic Router เป็นบริการอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงกว่าแบบใช้สายเคเบิลร่วมแกนมาก (บางผู้ให้บริการสามารถให้ความเร็วถึง 1 Gbps) โดย Router ต้องเชื่อมต่อกับใยแก้วนำแสง มีบริษัทผู้ให้บริการ เช่น AIS Fibre Broadband
ผู้ให้บริการเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
หน่วยงานราชการหรือสถาบันการศึกษา
ผู้ให้บริการที่เป็นหน่วยงานราชการหรือสถาบันการศึกษาโดยทั่วไปให้บริการกับสมาชิกที่อยู่ในหน่วยงานราชการหรือสถาบันการศึกษาเท่านั้น เช่น UniNet ให้บริการเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้แก่สถาบันการศึกษาที่เป็นสมาชิก
บริษัทผู้ให้บริการเชิงพาณิชย์
บริษัทผู้ให้บริการเชิงพาณิชย์จะให้บริการกับบุคคลทั่วไปหรือบริษัท ที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกเพื่อขอใช้
บริการเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยสมาชิกต้องมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายของผู้ให้บริการ และเสียค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ โดยอัตราค่าบริการจะขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละราย ซึ่งแต่ละบริษัทจะมีอัตราค่าบริการเป็นของตัวเอง ตัวอย่างบริษัทผู้ให้บริการเชิงพาณิชย์ที่มีอยู่ในประเทศไทย เช่น True Online,3BB, TOT Online, MaxNet, CS Loxinfo, KSC, CAT, Inet, และ TT&T
ข้อดีของการใช้บริการจากบริษัทผู้ให้บริการเชิงพาณิชย์คือ การให้บริการมีหลากหลายรูปแบบ สามารถรองรับกับความต้องการของผู้ใช้บริการแต่ละประเภทที่มีอยู่แตกต่างกัน เช่น ส่วนบุคคล บริษัท ร้านเกมส์ เป็นต้น
ขั้นตอนในการเลือก ISP
1. การบริการของ ISP ที่เลือกต้องมีความเสถียร การเชื่อมต่อไม่หลุดบ่อย ISP ควรมีตู้ชุมสาย หรือ มีจุดเชื่อมต่อสัญญาณอยู่ใกล้บ้านเรา เพราะความเสี่ยงที่สายเชื่อมต่อจะขาดมีน้อย
2. พิจารณาความเร็วในการรับส่งข้อมูลเพียงพอกับความต้องการ ทั้งความเร็วการ Download และ
Upload
3. เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับ ISP รายอื่น
4. พิจารณารูปแบบการติดตั้ง เป็น DSL, Cable, Fiber หรือ จานดาวเทียม
5. เปรียบเทียบข้อเสนอพิเศษและบริการหลังการขาย
จริยธรรมในการใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
1. เราต้องมีเหตุผล รู้จักใช้วิจารณญาณไตร่ตรองข้อมูลข่าวสาร ไม่หลงงมงาย มีความยับยั้งชั่งใจ ไม่ใช้อารมณ์และไม่เชื่อใครง่าย ๆ เช่น ไม่เชื่อใจเพื่อนที่รู้จักกันทางอินเทอร์เน็ตเพียงผิวเผิน จนให้ทั้งชื่อ, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์
2. มีความซื่อสัตย์ไม่เขียนข้อความที่เป็นเท็จ หรือ ไม่ให้ร้ายผู้อื่นทางอินเทอร์เน็ต
3. หลีกเลี่ยงการทะเลาะกับผู้อื่นในอินเทอร์เน็ต แสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาด้วยความสุภาพ
4. รู้จักกล่าวขอบคุณ ให้เครดิตหรืออ้างอิงแก่เจ้าของข้อมูล
5. รู้จักข่มใจไม่เข้าไปในเว็บไซต์ที่อาจท าให้เกิดความเสียหาย หรือความทุจริตทั้งปวง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น