วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ข่าวเกี่ยวกับไอที ที่4

Microsoft เริ่มทดสอบความปลอดภัยของเว็บเบราว์เซอร์ Edge สำหรับธุรกิจ





ใน Windows 10 Insider Preview Build เวอร์ชั่นล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมา ทางไมโครซอฟต์ได้มีการเพิ่มคุณสมบัติใหม่ที่มีชื่อว่า Windows Defender Application Guard เข้ามาแล้ว หลังจากที่มีการประกาศพัฒนาตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว โดยความสามารถของมัน คือ การเปิดเว็บเบราว์เซอร์ใน Virtual machine ซึ่งจะช่วยจำกัดการโจมตีจากไวรัสและมัลแวร์เอาไว้ไม่ให้แพร่กระจายเข้าคอมพิวเตอร์ได้
สำหรับใครที่อยากทดสอบการใช้งานฟีเจอร์ใหม่นี้ ในตอนนี้จะมีให้ใช้งานได้แค่บน Windows 10 Insider Preview Build เท่านั้น เปิดใช้งานได้โดยไปที่ Windows features แล้วติ๊กเลือก "Windows Defender Application Guard" หลังจากนั้น เมื่อเราเปิดโปรแกรม Microsoft Edge ขึ้นมา จะมีตัวเลือก "New Application Guard window." ให้เลือกใช้ ซึ่งจะเป็นการเปิดหน้าต่างเบราว์เซอร์หน้าใหม่ขึ้นมา
การทำงานของ Application Guard ใช้เทคนิค Virtualization Based Security (VBS) บน Windows 10 ในการทำงาน เพื่อช่วยให้เบราว์เซอร์ Edge ทำงานใน "พื้นที่อิสระ" บนเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งหากเราโดนโจมตีในระหว่างการใช้งาน การโจมตีทั้งหมด จะไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ ทุกอย่างจะถูกจำกัดอยู่แค่ใน Sandboxes เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การใช้งาน Edge บน VBS ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง เนื่องจากเป็นการทำงานบน Virtual machine จึงมีการใช้ทรัพยากรที่สูงกว่าปกติ หากเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราไม่แรงจะทำให้โปรแกรมทำงานได้ช้ากว่าปกติ และสิ่งต่างๆ ที่เราทำ อย่างจดข้อมูล หรือดาวน์โหลดไฟล์ จะไม่ถูกบันทึกเก็บไว้เลย
ทั้งนี้ นอกเหนือจากส่วนของ Application Guard แล้ว ใน Windows 10 Insider Preview Build เวอร์ชั่นล่าสุด ยังมีการปรับปรุงในส่วนของการอ่านไฟล์ PDF และการตั้งค่าการทำงานของ Cortana อีกด้วย

ที่มา : www.engadget.com

ข่าวเกี่ยวกับไอที ที่3

Microsoft เปิดตัวโปรแกรม Visual Studio สำหรับเครื่อง Mac



ย้อนกลับไปในช่วงปลายปี 2016 ทาง Microsoft ปล่อยตัวอย่างของโปรแกรม Microsoft Visual Studio for Mac ออกมา โดยที่ยังไม่มีการประกาศว่าจะเปิดให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการได้เมื่อไหร่

และในที่สุด ทาง Microsoft ก็ได้เปิดตัว Microsoft Visual Studio for Mac ออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว ภายในงาน Microsoft’s developer conference, BUILD 2017 ด้วยโปรแกรมนี้ นักพัฒนาที่ใช้เครื่อง Mac จะสามารถใช้โปรแกรม Microsoft Visual Studio ในการพัฒนาแอพฯ สำหรับสมาร์ทโฟน, เว็บไซต์, .NET Core, Cloud ด้วย Xamarin, เกมส์ ด้วย Unity หรือโปรแกรมด้านอื่นๆ ที่ต้องการได้

Image Slider Arrow LeftImage Slider Arrow Right1 / 3Microsoft เปิดตัวโปรแกรม Visual Studio สำหรับเครื่อง MacMicrosoft เปิดตัวโปรแกรม Visual Studio สำหรับเครื่อง MacMicrosoft เปิดตัวโปรแกรม Visual Studio สำหรับเครื่อง Mac

ซึ่งทาง Microsoft ได้มีการยืนยันอย่างชัดเจนว่า นักพัฒนาสามารถใช้โปรแกรม Visual Studio 2017 ในการเขียนแอพฯ สำหรับ iOS, macOS, watchOS, tvOS, Android  และเว็บไซต์ได้

สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการใช้ Visual Studio 2017 for Mac สามารถเข้าไปดาวน์โหลดมาใช้งานได้แล้ว ผ่านทางเว็บไซต์ https://www.visualstudio.com








ที่มา : www.visualstudio.com
 , https://news.thaiware.com/10332.html

บทที่6 โลกไร้พรมแดน


บทที่6 โลกไร้พรมแดน


เว็บ หมายถึง World Wide Web คือกลุ่มของคอมพิวเตอร์ในอินเทอร์เน็ตที่ถูกเชื่อมต่อกันในแบบพิเศษ ที่ทำให้คอมพิวเตอร์เหล่านั้นสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เก็บไว้ภายในของแต่ละเครื่องได้ โดยผ่านทางเบราว์เซอร์

เว็บมาจากไหน
  • www ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกโดยมีโครงการทางวิชาการในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างนักวิทยาศาสตร์ในทวีปยุโรป 
  • มีศูนย์กลางอยู่ที่ CERN
  • บิดาของเว็บคือ Tim Berners-Lee คิดโครงการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร โดยใช้ระบบไฮเปอร์เท็กซ์
  • ปัจจุบัน Tim Berners-Lee ทำงานที่ World Wide Web Consortium

เครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
  • เว็บในโลกปัจจุบันเหมือนใยแมงมุมที่มีการเชื่อมโยงการสื่อสารและเครือข่ายจากทั่วโลก 
  • ใยแมงมุมมีจุดศูนย์กลางที่เห็นได้ชัดเจน 
  • WWW การเชื่อมโยงการสื่อสารเป็นโยงใยไม่มีจุดศูนย์กลาง 
  • โลกของอินเทอร์เน็ต ครอบคลุมและเข้าถึงได้หลายทิศทาง 

โลกอินเทอร์เน็ตกับธุรกิจ
  • โลกในอินเทอร์เน็ต เหมือนเป็นโลกใหม่ที่ทำให้เข้าถึง ตลาด กลุ่มลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว สะดวก และต้นทุนต่ำ
  • เดิมเว็บเป็นแค่เว็บนิ่ง ๆ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างเดียว หรือเรียกว่า Web 1.0 
  • พัฒนาไปสู่เว็บที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลตลอดเวลา ตามข้อมูลที่ผู้ใช้ส่งเข้ามาหรือเรียกว่า Web 2.0   เช่น Facebook, Twitter, YouTube 
  • จากการพัฒนาการนี้ ทำให้เว็บซับซ้อนขึ้นมากจนเรียกว่า เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Networking)  
Web 1.0 ยุคแห่งการเริ่มต้น
  • ไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก
  • อุปกรณ์ในการใช้งานอินเทอร์เน็ตยังมีราคาแพง
  • ค่าใช้จ่ายในการใช้งานมีราคาสูง
  • ความเร็วในการเชื่อมต่อและความเร็วในการใช้งานยังมีจำกัด
  • เว็บไซต์มีลักษณะการแสดงเนื้อหาเป็นข้อความและภาพนิ่ง
  • ทฤษฎีของการสื่อสารถือว่าเป็นการสื่อสารทางเดียว (One-way communication) เพราะไม่มีการตอบรับจากผู้ที่ได้รับข้อมูล (แต่สามารถส่ง email หาผู้เขียนได้)
Web 2.0 ยุคแห่งการพัฒนาการเชื่อมโยง
  • อุปกรณ์ในการใช้งานอินเทอร์เน็ตมีราคาถูกลง
  • จำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น 
  • มีลักษณะเป็นการแบ่งปันความรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
Web 3.0 ยุคของการพัฒนาเว็บไซต์
  • เว็บสามารถจัดการข้อมูลจำนวนมากได้ โดยเอาข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่มาจัดให้อยู่ในรูปแบบ Metadata 
  • Metadata หมายถึงข้อมูลที่สามารถบอกรายละเอียดได้ ทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าถึงเนื้อหาของเว็บได้ดีขึ้น 
  • Web 3.0 เป็นการเติมและเพิ่มความหมายเข้าไปในเนื้อหาสาระ ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น 
  • การค้นหาด้วยข้อความ
  • การค้นหาภาพ (Image Search) 
  • การค้นหาข้อมูลที่เป็นข้อมูลต่อเนื่อง (Stream line) เช่นคลิป เพลง วีดีโอ 
Web 4.0 ยุคที่เว็บมีความฉลาด
  • ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้ใช้ (Adaptable) 
  • ผู้บริโภคได้รับความสะดวกและได้รับข้อมูลที่พวกเขาต้องการมากที่สุด
  • เว็บที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
  • เว็บ 4.0 เป็นแนวคิดเบื้องต้น คือแทนที่จะต้องสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำอะไรโดยเข้าไปในโปรแกรมต่าง ๆ เว็บจะปรับตัวเองให้เข้ากับการใช้งานของผู้ใช้



ความสามารถในการรองรับการขยายตัวของโลกอินเทอร์เน็ต 

1. การสื่อสาร
  • ความสามารถหนึ่งของเว็บ คือการรองรับการขยายตัวของระบบ (Scalability) รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น 
  • เมื่อก่อนโทรศัพท์คุยกันต้องหยอดเหรียญกดเบอร์ แล้วรอสัญญาณจากปลายทางรับสาย 
  • สมัยนี้มือถือสามารถคุยเห็นหน้ากัน เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก  เช่น Google Hangout
2. การค้นหาเส้นทาง
  • สมัยก่อนการหาเส้นทางต้องใช้แผนที่นำทาง 
  • เมื่อเทคโนโลยีเว็บเข้ามาทำให้สามารถหาข้อมูลเส้นทางการเดินทางแบบออนไลน์ได้ 
  • เมื่อเทคโนโลยีเว็บขยายตัวทำให้การค้นหาสถานที่ต่าง ๆ สามารถแสดงภาพของสถานที่ที่เราจะไปเสมือนจริงเหมือนเรายืนอยู่ ณ ตำแหน่งนั้น ๆ  
3. การเก็บข้อมูล
  • พื้นที่จัดเก็บข้อมูลออนไลน์ ฟรีสำหรับแฟ้มข้อมูลต่าง 
  • มีการให้บริการจำนวนมาก เช่น OneDrive ของ Microsoft 
  • สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ เรียกใช้ไฟล์ได้ทุกเมื่อ 
  • สามารถซิงค์แฟ้มข้อมูลไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้โดยอัตโนมัติ 


ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ต 

1. ด้านการศึกษา
  • ช่วยให้ผู้ที่ศึกษาสามารถหาข้อมูล หาความรู้ต่าง ๆ เพิ่มเติม ซึ่งจะมีการเผยแพร่ข้อมูล งานวิชาการต่าง ๆ มากมาย 
  • มีระบบการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
2. ด้านธุรกิจ
  • อินเทอร์เน็ตสามรถทำธุรกิจด้านการค้า ซื้อและขายสินค้าบริการต่าง ๆ ได้โดยที่ผู้ซื้อผู้ขายสามารถติดต่อซื้อขายได้โดยตรง ทำให้สะดวก และประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และยังช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกิจ
3. ด้านการสื่อสาร
  • ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลก่อให้เกิดประโยชน์มากมายได้แก่
  • การติดต่อสื่อสาร 
  • เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล 
  • การส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail) 
  • การพูดคุยด้วยการส่งสัญญาณภาพและเสียง (Conference) เช่น Skype 
4. ด้านให้ความบันเทิง ข่าวสาร สิ่งที่น่าสนใจ
  • อินเทอร์เน็ตถือว่าเป็นแหล่งความบันเทิงได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง คล้ายการนั่งดูทีวี ดูหนัง อ่านหนังสือ หรือบทความต่าง ๆ ซึ่งสามารถจะดูหรือใช้งานที่ไหน เมื่อไหร่ ก็ได้ตามความต้องการ


โทษของอินเทอร์เน็ต

1. อนาจารผิดศีลธรรม
  • เนื้อหาข้อมูลต่าง ๆ ที่ส่อไปในทางขัดต่อศีลธรรม ลามก อนาจาร หรือรวมถึงภาพโป๊เปลือยต่าง ๆ จาก คลิปหลุดและคลิปแอบถ่าย ซึ่งอาจเป็นการนำไปสู่การหลอกลวงและอาชญากรรมได้
2. เด็กติดเกม
  • เด็กส่วนใหญ่ที่เข้าไปใช้บริการในร้านที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตนั้นไปเพื่อเล่นเกม 90% และเน้นเกมการต่อสู้รุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่การเลียนแบบ และอาจจะก่อให้เกิดอาชญากรรมได้
3. ไวรัสคอมพิวเตอร์ 

  • โปรแกรมซึ่งจะขยายพันธุ์โดยการจำลองตัวเองให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ เพื่อที่จะทำลายข้อมูลต่าง ๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ 
  • ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงโดยการใช้หน่วยความจำหรือพื้นที่ว่างบนดิสก์
4. ใช้อินเทอร์เน็ตวิธีในการหลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ 
  • ทำให้มีอาการผิดปกติ อย่างเช่น หดหู่ กระวน กระวายเมื่อเลิกใช้อินเทอร์เน็ต 
  • ต้องการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้นเรื่อย ๆ 
  • รู้สึกหงุดหงิดมาก เมื่อต้องใช้อินเทอร์เน็ตน้อยลง 
  • ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตของตัวเองได้ 
  • เสี่ยงต่อการสูญเสียงาน การเรียน และความสัมพันธ์ในครอบครัว


บทที่10 กฎหมายและจริยธรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ

บทที่10 กฎหมายและจริยธรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ

1. ทำไมต้องมีการออกกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ


  • สังคมสารสนเทศเป็นสังคมใหม่ 
  • การอยู่ร่วมกันในสังคมสารสนเทศ จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ เพื่อการอยู่ร่วมกันโดยสันติและสงบสุข เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน 
  • ทุกวันนี้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน มีการใช้คอมพิวเตอร์ และระบบสื่อสารกันมาก ขณะเดียวกันก็มีผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในทางที่ไม่ถูก ไม่ควร ดังนั้นจำเป็นต้องมีกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ 
  • เมื่อมีกฎหมายแล้ว    “ผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะปฏิเสธความผิดว่า ไม่รู้กฎหมายไม่ได้”


2. กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ

โดยคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ (กทสช) ได้ทำการศึกษา และยกร่างกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ จำนวน 6 ฉบับ ได้แก่
1. กฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
2. กฎหมายเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
3. กฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน
4. กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 
5. กฎหมายเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
6. กฎหมายเกี่ยวกับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์



อาชญากรคอมพิวเตอร์จะก่ออาชญากรรมหลายรูปแบบ ปัจจุบันทั่วโลกจัดออกเป็น 9 ประเภท

1. การขโมยข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงการขโมยประโยชน์ในการลักลอบใช้บริการ
2. อาชญากรนำเอาระบบการสื่อสารมาปกปิดความผิดของตนเอง
3. การละเมิดสิทธิ์ปลอมแปรงรูปแบบ เลียนแบบระบบซอฟต์แวร์โดยมิชอบ
4. ใช้คอมพิวเตอร์แพร่ภาพ เสียง ลามก อนาจาร และข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
5. ใช้คอมพิวเตอร์ฟอกเงิน
6. อันธพาลทางคอมพิวเตอร์ที่เช้าไปก่อกวน ทำลายระบบสาธารณูปโภค เช่น  ระบบจ่ายน้ำ  
        จ่ายไป ระบบการจราจร
7. หลอกลวงให้ร่วมค้าขายหรือลงทุนปลอม
8. แทรกแซงข้อมูลแล้วนำข้อมูลนั้นมาเป็น)ระโยชน์ต่อตนโดยมิชอบ เช่น ลักลอบค้นหารหัส 
        บัตรเครดิตของผู้อื่นมาใช้ ดักข้อมูลทางการค้าเพื่อเอาผลประโยชน์นั้นเป็นของตน
9. ใช้คอมพิวเตอร์แอบโอนเงินบัญชีผู้อื่นเข้าบัญชีตัวเอง

บทที่ 9 ไอซีทีอย่างรู้เท่าทัน

บทที่ 9 ไอซีทีอย่างรู้เท่าทัน

ภัยที่มากับอินเทอร์เน็ต เป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้
1. ภัยที่มีผลทางด้านข้อมูลหรือระบบคอมพิวเตอร์
2. ภัยที่มีผลทางด้านสังคม
3. ภัยที่มีผลต่อสุขภาพ

1. ภัยที่มีผลทางด้านข้อมูล หรือระบบ
1.1 วายร้ายโจรกรรมข้อมูล

  • การสอดแนม (Snooping หรือ Sniffing) หมายถึงการดักจับหรือแอบดูข้อมูล โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล
  • ฟิชชิง (Phissing หรือ Fishing) เป็นการปลอมอีเมลหรือเว็บไซต์เพื่อหลอกลวง เพื่อต้องการข้อมูลสำคัญจากผู้ถูกหลอก เช่น Username, Password, Credit Card Number และอื่น ๆ
  • สปายแวร์ (Spyware) เป็นซอฟต์แวร์ที่ฝังตัวอยู่ในเครื่องโดยทำพฤติกรรมไม่พึงประสงค์บางอย่าง เช่นพยายามโฆษณาสินค้า รวบรวมข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้
  • ลักษณะที่บ่งชี้ว่ามีสปายแวร์ที่เครื่อง  
  • 1. มีโฆษณาป๊อบอัพขึ้นมาบนหน้าจอ แม้ว่าไม่ได้ติดต่อกับอินเทอร์เน็ต 
  • 2. หน้าเว็บแรกเมื่อผู้ใช้เรียกบราวเซอร์ขึ้นมามีการเปลี่ยนแปลงโดยที่ผู้ใช้ไม่ได้เปลี่ยนด้วยตัวเอง 
  • 3. จะสังเกตเห็นทูลบาร์แบบใหม่ที่ไม่ต้องการในบราวเซอร์ และการขจัดทูลบาร์ดังกล่าวทิ้งไปทำได้ยากมาก 
  • 4. คอมพิวเตอร์ทำงานบางอย่างนานกว่าปกติ 
  • 5. เจอปัญหาคอมพิวเตอร์แฮงก์บ่อยครั้ง

1.2 วายร้ายทำลายข้อมูล (Malware)
  • เป็นซอฟต์แวร์ประเภทที่เป็นอันตรายต่อคอมพิวเตอร์โดยมันจะก่อกวน ทำลายข้อมูล สร้างความเสียหายกับระบบคอมพิวเตอร์ 
  • ประเภทของมัลแวร์ ได้แก่ 
  • ไวรัส (Virus) 
  • เวิร์ม (Worm) 
  • โทรจัน (Trojan)
ไวรัส (Virus) 
- เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อทำลายระบบคอมพิวเตอร์ 
- มีลักษณะการแพร่กระจายไปยังไฟล์ต่าง ๆ ที่อยู่ในเครื่อง และ ระบบเครือข่าย
- ปกติไวรัสจะแพร่กระจายโดยอาศัยโปรแกรมอื่นหรือมนุษย์เป็นผู้กระทำ

หนอน หรือ เวิร์ม (Worm) 
- เป็นโปรแกรมที่มีการแพร่กระจายตัวเองไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ที่อยู่ในเครือข่าย 
- โดยจะใช้ประโยชน์จากโปรแกรมที่รับ-ส่งไฟล์โดยอัตโนมัติเป็นช่องทางในการแพร่กระจาย และไม่ต้องอาศัยมนุษย์ในการเปิดไฟล์ใด ๆ เพื่อแพร่กระจายตัว  

โทรจันฮอร์ส (Trojan Horse) 
- โปรแกรมม้าโทรจันดูเหมือนจะมีประโยชน์ แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อทำลายโปรแกรมต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ 
- มักเรียกการทำงานของม้าโทรจันว่า “ปฏิบัติการเพื่อล้วงความลับ”
- ม้าโทรจันต่างจากไวรัส และหนอน คือมันไม่สามารถทำสำเนาตัวเองและแพร่กระจายตัวเองได้ แต่มันสามารถอาศัยตัวกลาง อาจเป็นโปรแกรมต่างๆ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือการไปโหลดไฟล์จากแหล่งต่างๆ   


1.3 วายร้ายแทรกแซงการทำงาน
  • สแปม (Spam) 
คือ การส่งข้อมูลที่ผู้รับไม่ได้ร้องขอ จนทำให้ผู้รับเกิดความรำคาญ รวมถึงเป็นการก่อกวน และรบกวนผู้อื่นโดยมีจุดประสงค์ที่ต่าง ๆ กัน 
สแปมสามารถทำผ่านสื่อหลาย ๆ ชนิด เช่น E-mail, Instant Messaging, Webboard, SMS on Mobile phone ฯลฯ
หากเราพบกับภัยที่มาจากอีเมลที่ไม่แน่ใจว่ามีไวรัส หรือภาพโป๊    ฟอร์เวิร์ดอีเมลที่ไร้สาระ ถ้ามีอีเมลที่เราไม่รู้จักเข้ามา ก็ควรลบทิ้ง

  • การโจมตีแบบการปฎิเสธการให้บริการ (Denial of Service : DoS) 
เป็นความพยายามทำให้เครื่องหรือทรัพยากรเครือข่ายสำหรับผู้ใช้เป้าหมายใช้บริการไม่ได้ 



2. ภัยที่มีผลทางด้านสังคม

2.1 ภัยจากการแชท
- การแชท หมายถึง การพูดคุยกันทางอินเทอร์เน็ต 
- เป็นภัยด้านสังคมจากอินเทอร์เน็ตที่พบง่ายและบ่อยที่สุด
- การแชทกับคนแปลกหน้าถ้าเราเผลอให้ข้อมูลส่วนตัว หรือนัดเจอกัน เราอาจตกเป็นเหยื่อของคนเหล่านี้ได้ 
- การแชทโดยไม่มีขอบเขต จะนำไปสู่การถูกล่อลวง ไปทำเรื่องมิดีมิร้าย จนเป็นการสร้างปัญหาให้สังคม  
2.2 ภัยจากการเล่นเกมออนไลน์ 
- ปัจจุบันเกมออนไลน์มีมาก บางเกมส่อไปในทางลามกอนาจาร  นำเสนอภาพที่รุนแรง บางเกมมีการขายของที่อยู่ในเกม หลายคนเคยตกเป็นเหยื่อเพราะโดนหลอกซื้อของในเกม
- นักเรียนต้องรู้จักข่มใจตนเอง เลือกเล่นเฉพาะเกมที่สร้างสรรค์ กำหนดเวลาเล่นให้เป็น 
- สิ่งเหล่านี้เป็นตัวบั่นทอนทำให้เสียสุขภาพกาย สุขภาพจิต รวมถึงเสียการเรียน

2.3 ภัยจากการท่องเว็บ 
1. การโฆษณาหลอกลวงขายสินค้า
2. เว็บดาวน์โหลด ถ้าดาวน์โหลดสุ่มสี่สุ่มห้า อาจจะมีไวรัสแถมมาด้วย 
3. เว็บโป๊ อนาจาร 
4. เว็บบอร์ด กระดานถามตอบ อาจมีการโพสต์ข้อความชวนเชื่อ โกหกบ้าง จริงบ้าง ใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพเพื่อกลั่นแกล้งกัน 
5. ภัยจากอีเมล์ก็มีไวรัส หรือภาพโป๊ ฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ไร้สาระ ถ้ามีเมล์ที่เราไม่รู้จักเข้ามา ก็ควรลบทิ้ง


3. ภัยที่มีผลต่อสุขภาพ

3.1 ภัยที่มีผลต่อสุขภาพกาย
  • ดวงตา
การจ้องจอคอมพิวเตอร์หรือจอโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานมีผลต่อกล้ามเนื้อและระบบประสาทตา ทำให้เกิดอาการเมื่อยตา สายตาเสื่อม ปวดกล้ามเนื้อและปวดศีรษะคลื่นไส้

  • ระบบประสาท
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของคอมพิวเตอร์อาจมีผลต่อระบบประสาท แม้ว่ารังสีชนิดต่าง ๆ จากหน้าจอคอมพิวเตอร์จะมีความปลอดภัย 
แต่การรับรังสีเป็นเวลานานก็อาจจะส่งผลกระทบถึงระบบประสาทของมนุษย์ได้เช่นกัน เช่น อาจเกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้  อึดอัด และนอนไม่หลับ เป็นต้น 

  • ระบบสืบพันธุ์
คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปหรือโน๊ตบุ๊ค ที่หลายคนชอบวางไว้บนหน้าตัก จะทำให้อุณหภูมิที่ลูกอัณฑะสูงขึ้นซึ่งมีผลต่อการสร้างสเปิร์มของผู้ชายทุกคน ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นหมัน

  • โรคที่เกิดจากท่านั่งหรือการทำงานซ้ำซาก
การนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ทำให้เกิดโรค Cumulative Trauma Disorders อาการของโรคจะค่อยเป็นค่อยไป จะมีอาการปวดคอ ไหล่ ข้อมือ และหลัง ผู้ที่เป็นมาก ๆ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการชาที่มือ
การรักษาคือ ผู้ป่วยต้องปรับพฤติกรรมการทำงาน หรือถ้าเป็นมากควรปรึกษาแพทย์


3.2 ภัยที่มีผลต่อสุขภาพจิต
  • โรคติดอินเทอร์เน็ต
สาเหตุเกิดมาจากใช้เน็ตมากเกินไป ทำให้ซึมเศร้า ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม โรคติดอินเทอร์เน็ตนั้นก็คล้าย ๆ กับการติดสิ่งเสพติดที่สร้างปัญหาให้เกิดกับอารมณ์ ร่างกาย สังคม

  • โรคทนรอไม่ได้ (Hurry Sickness) 
มักจะเกิดกับผู้ที่เล่นอินเทอร์เน็ต ที่ทำให้คนกลายเป็นคนขี้เบื่อ หงุดหงิดง่าย ใจร้อน เครียดง่าย 
เช่น ทนรอเครื่องดาวน์โหลดนาน ๆ ไม่ได้ กระวนกระวาย หากมีอาการมาก ๆ ก็จะเข้าข่ายโรคประสาทได้ 

  • โรคสมาธิสั้นจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ 
- การทำงานในลักษณะ Multitasking  อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคร้ายใหม่ที่ชื่อว่า Attention Deficit Trait หรือ ADT
- ADT เกิดจากสภาวะแวดล้อมเป็นหลัก มักจะมีอาการสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งได้นาน ๆ มีความวุ่นวายอยู่ข้างใน ไม่ค่อยอดทน มีปัญหาในการจัดระบบต่าง ๆ (Unorganized) การจัดลำดับความสำคัญ และการบริหารเวลา


แนวทางการป้องกัน

1. การป้องกันข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ 

1.1 ผู้ใช้ต้องอัพเดตระบบปฏิบัติการอยู่เสมอ
การอัพเดตระบบจะช่วยทำให้คอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น ง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น และสามารถแก้ไขช่องโหว่ของความปลอดภัยที่บางครั้งโปรแกรมตัวก่อน ๆ นั้นไม่สามารถปกป้องได้

1.2 ควรมีบัญชีผู้ใช้และรหัสผ่านในการใช้งานเครื่องหรือระบบอ่อนไลน์ต่าง ๆ
เพื่อให้ผู้ใช้งานคนอื่น ๆ เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของเจ้าของได้ยาก  

1.3 การป้องกันทางกายภาพ
- แม้รหัสผ่านจะช่วยป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพเข้าถึงข้อมูลได้ทันที แต่มันไม่สามารถช่วยปกป้องข้อมูลของเราไม่ให้ถูกทำลายได้ 
- ดังนั้น นอกจากการตั้งรหัสผ่านแล้ว เราไม่ควรวางเครื่องคอมพิวเตอร์/โทรศัพท์มือถือทิ้งไว้ในที่ต่าง ๆ ในที่สาธารณะในขณะที่ตัวเราไม่อยู่

1.4 ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและป้องกันสปายแวร์
 - ผู้ใช้งานควรติดตั้งและใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส (Anti-Virus) และป้องกันสปายแวร์ (Anti-Spyware) และควรหมั่นอัพเดตเสมอ 
- เพื่อป้องกันโปรแกรมจำพวกมัลแวร์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขโมยข้อมูลหรือเพื่อใช้คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานในทางที่ไม่ดี 

1.5 การใช้อุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่อยู่ภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์บันทึกข้อมูลแบบพกพา 
- ผู้ใช้ควรระมัดระวังในการเสียบแฟลชไดร์ฟเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์หรือให้บุคคลอื่นยืมไปใช้
- ผู้ใช้ไม่ควรเปิดไฟล์ที่ตนเองไม่รู้จักหรือไม่น่าไว้ใจ 
- ก่อนใช้แฟลชไดร์ฟทุกครั้งต้องมั่นใจว่าโปรแกรมป้องกันไวรัสได้เปิดไว้ที่เครื่อง และทำการสแกนก่อนใช้ทุกครั้ง

1.6 การเลือกใช้ซอฟต์แวร์ที่น่าเชื่อถือและซอฟต์แวร์แบบโอเพ่นซอร์ส
- ผู้ใช้ควรเลือกใช้โปรแกรมจากผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายที่มีความน่าเชื่อถือ หรือเลือกใช้โปรแกรมแบบโอเพ่นซอร์ส 
- ไม่ควรใช้ซอฟต์แวร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ซึ่งส่วนมากมักมีไวรัสติดมาด้วย 
- ไม่ควรดาว์นโหลดไฟล์ข้อมูลหรือโปรแกรมจากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ 



วิธีป้องกันโรคที่ส่งผลต่อร่างกายเมื่อเราใช้อินเทอร์เน็ตนาน
 หลัก 20:20:20 หรือ พักการทำงาน 20 วินาที หลังจากทำงาน 20 นาที และมองไปไกล 20 ฟุต และทุก ๆ 1-2 ชั่วโมง ควรลุกขึ้นยืน หลับตา หรือมองไปที่ไกล ๆ มองต้นไม้สีเขียว บริหารดวงตาด้วยการกลอกตาเป็นวงกลม 5-6 รอบ ใช้นิ้วนางแตะหัวตาแต่ละข้าง คลึง กดจุด 1-2 วินาที 










บทที่8 ชีวิตง่ายๆในโลกดิจิทัล

บทที่8 ชีวิตง่ายๆในโลกดิจิทัล

ความสำคัญของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

จะสามารถพิจารณาได้จากคุณสมบัติของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์8 ประการ ดังนี้
1. ใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา (Ubiquity)
2. เข้าถึงได้ทั่ว (Global reach)
3. การมีมาตรฐานสากล (Universal standards)
4. การรองรับสื่ออย่างครบถ้วนสมบูรณ์ (Richness)
5. การมีปฏิสัมพันธ์ (Interactivity)
6. การมีข้อมูลที่รองรับการใช้งานมาก (Information density)
7. การตอบสนองต่อความต้องการของแต่ละบุคคล(Personalization/Customization)
8. การมีเทคโนโลยีสังคม (Social technology)


ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์(E-Business) หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ ต่าง ๆ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
การใช้คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และอินเทอร์เน็ต เพื่อทำให้กระบวนการทางธุรกิจมีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของคู่ค้าและลูกค้าให้ตรงใจและรวดเร็ว เพื่อลดต้นทุน และขยายโอกาสทางการค้าและการบริการ

ซึ่งธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์นั้นสามารถแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะได้แก่

1. การติดต่อสื่อสารและประสานการทำงานร่วมกัน (Communication and Collaboration)
2. การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์(Electronic Commerce) 
3. ระบบธุรกิจภายในองค์การ ( Internal Business System) 


ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
การพิจารณาประเภทของการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้นสามารถพิจารณาได้จากหลายหลักการ ซึ่งใน
บทเรียนนี้จะใช้หลักการของคู่ค้า
จากหลักการของคู่ค้าเมื่อพิจารณาความเกี่ยวข้องกับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้วจะแบ่งกลุ่มบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่
- กลุ่มธุรกิจ (Business)
- กลุ่มรัฐบาล (Government)
- กลุ่มประชาชน (Citizen) ผู้บริโภค (Consumer) หรือ ลูกค้า (Customer)


ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกันในทางพานิชย์อิเล็กทรอนิกส์มี 5 ลักษณะดังนี้
1. Business to Consumer หรือ Business to Customer (B2C) เป็นลักษณะที่กลุ่มธุรกิจให้บริการ
ขายสินค้าแก่ลูกค้าหรือผู้บริโภค 
2. Business to Business (B2B) เป็นลักษณะที่กลุ่มธุรกิจให้บริการขายสินค้ากับกลุ่มธุรกิจด้วยกัน ซึ่ง
โดยส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะขององค์การขนาดใหญ่ที่มีการซื้อขายวัตถุดิบระหว่างกัน
3. Business to Government (B2G) เป็นลักษณะที่กลุ่มธุรกิจให้บริการกับกลุ่มรัฐบาล เช่น การ
ให้บริการจัดซื้อจัดจ้างแก่หน่วยงานรัฐบาล ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกแทนหน่วยงานภาครัฐที่จะต้องเป็นผู้การดำเนินเองทั้งหมด ก็ให้กลุ่มธุรกิจเอกชนดำเนินการลงทุนเทคโนโลยีต่าง ๆ แทนให้
4. Government to Citizen (G2C) เป็นลักษณะที่กลุ่มรัฐบาลให้บริการ (ฟรี) กับกลุ่มประชาชน ผ่าน
ทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ 
5. Consumer to Consumer (C2C) เป็นลักษณะที่กลุ่มผู้บริโภคขายสินค้าให้กับกลุ่มผู้บริโภคด้วย
กันเอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นการค้าปลีก สินค้าท าเอง หรือสินค้ามือสอง และมักจะอาศัยเว็บไซต์ตลาดกลางในการขายสินค้า


ประเภทสินค้าและบริการที่พบของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

เมื่อพิจารณาสินค้าที่จ าหน่ายผ่านทางการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้วนั้น จะสามารถจำแนกออกได้เป็น 3ลักษณะ ดังนี้
1) กลุ่มสินค้าที่จับต้องได้ การขายสินค้าในลักษณะนี้ จะเป็นสินค้าในรูปวัตถุสิ่งของ เช่น นาฬิก โทรศัพท์
หนังสือ ซีดี/ดีวิดี เป็นต้น ในการซื้อสินค้าเหล่านี้ผู้ซื้อจะต้องอาศัยการสังเกตและความรอบคอบต่อผู้จำหน่ายเนื่องจากสินค้าเหล่านี้ผู้ซื้อไม่สามารถจับต้องหรือได้เห็นสินค้าจริงก่อนที่จะสั่งซื้อ จึงมีโอกาสที่ได้สินค้าไม่ตรงกับความต้องการอย่างแท้จริง และสินค้าในกลุ่มนี้จะต้องอาศัยการจัดส่งมายังลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่ผู้จำหน่ายได้จัดเตรียมไว้อีกด้วย
2) กลุ่มสินค้าที่จับต้องไม่ได้ การขายสินค้าในกลุ่มนี้จะให้ผู้ซื้อท าการดาวน์โหลด ภายหลังการช าระเงิน
ส าหรับสินค้าในกลุ่มนี้ได้แก่ เกมส์ เพลง หรือโปรแกรมต่าง ๆ เป็นต้น ข้อดีประการหนึ่งของสินค้าในกลุ่มนี้คือ ผู้จ าหน่ายบางรายอาจมีตัวทดลองในลักษณะแชร์แวร์ (Share Ware) ไว้ให้ผู้ซื้อได้ทดลองใช้ก่อนตามเงื่อนไข ถ้าหากพึงพอใจค่อยติดต่อซื้อในภายหลัง และสิ่งที่ต้องระวังของการซื้อสินค้าในรูปแบบนี้คือ การเชื่อมต่อสัญญาณเพื่อดาวน์โหลด เนื่องจากบางครั้งถ้าผู้ซื้อดาวน์โหลดด้วยระบบโทรศัพท์อาจจะมีค่าบริการโทรศัพท์ในการดาวน์โหลดเป็นจำนวนมาก เนื่องจากไฟล์ที่มีขนาดใหญ่และสัญญาณอาจไม่คมชัด
3) กลุ่มบริการ เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการท าธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ได้ขายสินค้า แต่เน้น
ให้บริการ เช่น บริการจองตั๋วภาพยนตร์ จองตั๋วคอนเสิร์ต จองซื้อทัวร์หรือตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น ซึ่งการบริการเหล่านี้ผู้ใช้บริการจะต้องตรวจสอบผู้ให้บริการก่อนถึงความน่าเชื่อถือ การรับประกันบริการ รวมถึงเงื่อนไขความรับผิดชอบของการให้บริการ



กระบวนการซื้อสินค้าด้วยรูปแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

ขั้นที่ 1 การค้นหา เป็นขั้นตอนที่ลูกค้าจะค้นหาร้านที่จำหน่ายสินค้า ซึ่งจะเป็นการค้นหาเว็บไซต์และระบุ
เว็บไซด์ที่ตรงกับความต้องการในการเลือกซื้อของลูกค้า
ขั้นที่ 2 การเลือก เป็นขั้นตอนที่ลูกค้าได้เห็นคุณสมบัติของสินค้าในด้านต่าง ๆ เช่น ภาพสินค้า
รายละเอียดสินค้า คุณภาพสินค้า และราคาสินค้า เป็นต้น
ขั้นที่ 3 การซื้อสินค้าและบริการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นขั้นตอนการซื้อสินค้าและบริการผ่านทางรูปแบบ
อิเล็กทรอนิกส์ โดยที่หลังจากลูกค้าเลือกสินค้าแล้ว ก็จะระบุวิธีการจัดส่งและการชำระเงิน 
ขั้นที่ 4 การจัดส่งสินค้า หลังจากที่ลูกค้าได้ซื้อสินค้า ผู้จ าหน่ายจะด าเนินการจัดส่งสินค้าซึ่งทั้งนี้ขึ้นอยู่
กับลักษณะของสินค้าหรือบริการที่ลูกค้าซื้อ
ขั้นที่ 5 การบริการหลังการขาย เป็นขั้นตอนในการให้ความคุ้มครองและสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า
โดยที่ลูกค้าสามารถติดต่อคืนสินค้า เปลี่ยนสินค้า ซ่อมแซมสินค้า หรือขอคำปรึกษาในเรื่องสินค้า บริการตามระยะเวลาข้อตกลง
ขั้นที่ 6 การประเมินผลหลังการขาย นอกเหนือจากที่ผู้จำหน่ายอาจจัดให้มีช่องทางในการติดต่อสื่อสาร
เช่น การแจ้งข่าวสารผ่านเว็บไซต์ เว็บบอร์ด หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์แล้วนั้น อาจจะมีการช่องทางในการประเมินผลหลังการขาย โดยอาจจะเป็นการจัดอันดับเรตติ้งของผู้จำหน่าย ความชอบในสินค้า ซึ่งผู้ซื้อจะเป็นผู้ทำการประเมิน ซึ่งส่งผลดีต่อลูกค้ารายอื่น ๆ ที่มีความสนใจจะได้เข้ามาพิจารณาการประเมินผลของลูกค้าที่เคยใช้บริการ และเป็นผลดีต่อร้านค้า


กลโกง การหลอกลวงของผู้จำหน่าย
- การหลอกลวงให้เปิดเผยข้อมูลทางการเงินหรือบัตรเครดิต อาจพบได้ในกรณีที่ลูกค้าซื้อสินค้าจาก
เว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือเว็บไซต์ที่ไม่มี วิธีการป้องกันในการส่งข้อมูลทางการเงิน
- การเปิดร้านค้าปลอม โดยอาจเปิดเว็บไซต์เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ หลอกให้ลูกค้า โอนเงิน แต่ไม่ส่งสินค้าไปให้
- การหลอกประกาศขายสินค้า ใช้ข้อความประกาศว่าเป็นสินค้าราคาถูก และบางครั้งอาจพบว่าร้านค้ามี
การให้ที่อยู่ปลอมเพื่อความน่าเชื่อถือ และหลอกให้โอนเงินไปให้ โดยส่วนใหญ่มักพบในกลุ่มสินค้าราคาสูง เช่น กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์สมาร์ทโฟน เป็นต้น
- การส่งสินค้าปลอม สินค้าไม่ถูกลิขสิทธิ์ หรือสินค้าที่ไม่ตรงกับที่สั่งซื้อ
- การโฆษณาสินค้าที่หลอกลวงในสรรพคุณมากเกินจริง เช่น ยาวิตามิน อาหารเสริมต่าง ๆ 
- การหลอกลวงในการประมูลสินค้า เช่น ผู้จำหน่ายไม่ส่งสินค้าให้ผู้ชนะการประมูลเพราะไม่มีสินค้าจริง ,
การปั่นราคาให้ราคาสูงเกินจริง เป็นต้น


การป้องกันเพื่อการซื้อสินค้า

1. ผู้ซื้อควรเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้จำหน่ายที่น่าเชื่อถือ คือ มีรายละเอียดชื่อ ที่อยู่ของผู้จำหน่าย
สินค้า หรือวิธีที่สามารถติดต่อได้ โดยอาจค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านเว็บไซต์ Search engine เช่น Google หากไม่มั่นใจผู้จำหน่าย ก็ควรหลีกเลี่ยงไปใช้บริการของร้านค้าที่เป็นที่รู้จัก
2. อย่าเห็นแก่ราคาสินค้าที่ถูกเกินไป และพยายามเร่งรัดและระมัดระวังในการซื้อสินค้า รวมถึงต้องเก็บ
หลักฐานการซื้อสินค้าเอาไว้เสมอ
3. ห้ามให้ข้อมูลสำคัญ เช่น หมายเลขบัตรประชาชน เป็นต้น และถ้าหากเป็นการช าระเงินด้วยบัตร
เครดิตทางอินเทอร์เน็ต ผู้ซื้อต้องระวังการให้ข้อมูลบัตรเครดิต
4. ถ้าหากเป็นผู้จำหน่ายสินค้ารายใหม่ หรือยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาด ก็ไม่ควรโอนเงินหากยังไม่ได้รับสินค้าหรือถ้าเป็นไปได้ควรนัดรับสินค้าและตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนการชำระเงิน
5. สังเกตการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้จ าหน่ายสินค้า เพื่อสร้างความน่าไว้วางใจในเว็บไซต์ที่ให้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ผู้จำหน่ายสินค้าควรจะจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
6. สังเกตการใช้โปรโตคอล SSL (Secure Sockets Layer) เพื่อรักษาความปลอดภัยและความเป็น
ส่วนตัว เว็บไซต์มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเช่นเว็บไซต์ของธนาคาร หรือ เว็บไซต์ขายสินค้าที่มีความน่าเชื่อถือมักจะมีการรักษาความปลอดภัยด้วยโปรโตคอล SSL ซึ่งสังเกตได้จาก การมีสัญลักษณ์รูปแม่กุญแจปิดล็อค และนอกจากนั้นที่ URL จะเปลี่ยนจาก โปรโตคอล http:// เป็น https://
7. มีการใช้ใบรับรองดิจิตอล (Digital Certificate) เพื่อเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ
ความปลอดภัยในเว็บไซต์หรือยืนยันตัวตนของผู้ที่เป็นเจ้าของ ซึ่งผู้ให้บริการจะได้มีการจดทะเบียนใบรับรองดิจิตอล จากบริษัทหรือหน่วยงานที่น่าเชื่อถือซึ่งเรียกว่า Certificate Authority (CA)



วิธีการแก้ปัญหาเมื่อพบว่าโดนโกง

ถ้าหากลูกค้าพบปัญหาว่าตนเองโดนโกงไปแล้วควรรวบรวมข้อมูลหลักฐาน เพื่อติดตามคนร้าย
อาทิเช่น (อ้างอิง : www.pawoot.com/online-fraud)
- หมายเลข IP address ของคนร้าย (ช่วงเวลาและสถานที่)
- หมายเลขโทรศัพท์คนร้าย
- E-Mail คนร้าย
- บัตรประชาชนที่คนร้ายใช้อ้าง
- วัน เวลา สถานที่ ลงประกาศ นัดเจอ โอนเงิน
- เลขบัญชี การเดินทางของเงินในบัญชี ทั้งข้อมูลธนาคาร สาขา การโอนเงิน
- การสังเกตน้ าเสียงและลักษณะของคนร้าย
จากนั้นให้ดำเนินการแก้ปัญหาได้ ในช่องทางต่าง ๆ ดังนี้
- เก็บรวมรวมหลักฐานต่าง ๆ แล้วไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจากนั้นติดต่อกองบังคับ
การปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(http://www.tcsd.in.th) เพื่อ
ประสานติดตามเรื่องต่อไป
- ติดต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานเพื่อคุ้มครองการซื้อ
สินค้าจากตัวแทนขายตรง คุ้มครองตัวแทนขายตรงจากเจ้าของสินค้าและยังครอบคลุมถึงการค้าแบบ
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ด้วย
- กรณีช าระค่าสินค้าโดยการโอนเงิน ให้รีบติดต่อธนาคารโดยอาจติดต่อขอระงับการโอนเงิน ซึ่ง
ทางธนาคารจะท าการยกเลิกการโอนเงินให้โดยติดตามน าเงินจากบัญชีปลายทางที่โอนไปกลับมาคืน ซึ่ง
วิธีการนี้โดยส่วนมากมักได้ผลถ้าหากรีบดำเนินการเมื่อพบความผิดปกติ
- กรณีชำระค่าสินค้าด้วยบัตรเครดิต ซึ่งหากพบรายการผิดปกติใด ๆ หรือเชื่อว่าตนอาจถูกหลอก
หรือมีผู้ใช้บัตรเครดิตโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องรีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทหรือธนาคารที่ออกบัตรทราบและทำหนังสือปฏิเสธการใช้บัตรเพื่อระงับรายการนั้นไว้ชั่วคราว




บทที่7 สังคมโลกเสมือน

สังคมโลกเสมือน

ความหมายของซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์

ซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์ คือ ซอฟต์แวร์ที่ทำให้ผู้คนสามารถนัดพบปะเชื่อมสัมพันธ์แลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นในเรื่องที่สนใจอย่างสร้างสรรค์หรือทำงานร่วมกัน โดยมีคอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลาง เกิดเป็นสังคมหรือชุมชนออนไลน์ในการศึกษาซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์นั้น ต้องทำความเข้าใจกับคำว่าซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคม
ออนไลน์สามารถจำแนกการแบ่งประเภทต่าง ๆ ของซอฟต์แวร์ออกเป็น 4 ประเภท  ได้แก่
1. ประเภทการบริหารจัดการความรู้ (Knowledge Management)
2. ประเภทเครื่องมือการติดต่อสื่อสาร (Communication Tools)
3. ประเภทเครื่องมือเพื่อร่วมประสานงานแบบทันทีทันใด (Collaborative real-time editors)
4. ประเภทบริการสังคมเครือข่าย (Social Network Services)

ประเภทของซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์

1. ประเภทกำรบริหารจัดการความรู้ (Knowledge Management)
เครื่องมือประเภทจัดการความรู้ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของเว็บแอพลิเคชัน หรือเครื่องมือที่ทำงานผ่าน
เว็บบราวเซอร์ ลักษณะของการใช้งานจะเป็นลักษณะการเก็บเรื่องราว การบันทึก การถามคำถาม การตอบคำถามการแสดงความเห็นหรือมุมมองต่าง ๆ ทั้งในเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องทั่ว ๆ ไป

2. ประเภทเครื่องมือการติดต่อสื่อสาร (Communication Tools)
ซอฟแวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์นอกจากจะให้เราจัดการความรู้ได้แล้ว ยังทำให้เราได้รู้จัก พูดคุย และ
ติดต่อสื่อสารกับคนที่อยู่ต่างถิ่นทั่วโลกได้โดยซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภทการติดต่อสื่อสาร ซึ่งเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกของอินเทอร์เน็ตนั้นคือ จดหมาย
อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 60 ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต

3. ประเภทเครื่องมือเพื่อร่วมประสานงานแบบทันทีทันใด (Collaborative real-time editors)
เครื่องมือเพื่อร่วมประสานงานแบบทันทีทันใด เป็นเครื่องมือที่ใช้ในกิจกรรมการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มในลักษณะออนไลน์ ไม่ต้องมีการพบปะหน้าตากันในชีวิตจริง แต่จะสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เครื่องมือนี้สามารถให้ทำงานพร้อม ๆ กันได้ โดยที่ผู้ร่วมทำงานกับเราอยู่กันในเครือข่ายนี้ ซอฟต์แวร์ตัวแรก คือ SubEthaEdit ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ต้องติดตั้งลงในระบบปฏิบัติการ Mac OSX ซึ่งไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากใช้ได้กับเฉพาะระบบปฏิบัติการนี้เท่านั้น ต่อมาเมื่อเกิดเทคโนโลยี Web 2.0 ซึ่งทำให้การทำงานของเว็บไซต์สามารถดำเนินงานโต้ตอบกับมนุษย์แบบรวดเร็วและทันทีทันใดได้ จึงได้เกิดซอฟต์แวร์ที่เป็นลักษณะที่ใช้เว็บไซต์เป็นพื้นฐาน (web-based application) เช่น Google Doc ที่สามารถสามารถสร้างไฟล์ทั้งเอกสารประมวลผลคำแบบอลน์ไลน์ ซึ่งได้รับความนิยมมาก อีกทั้งยังมีเอกสารตารางคำนวณ เอกสารนำเสนอ รวมไปถึงการสร้างแบบฟอร์มต่าง ๆ ได้อีกด้วย ในส่วนของการประสานงานกับสมาชิกในกลุ่ม สามารถส่งคำเชิญ เพื่อให้ร่วมกันแก้ไขไฟล์เดียวกันได้สามารถดูประวัติย้อนหลังของการดำเนินการได้สามารถยอมให้คนอื่น ๆ เห็นข้อมูลได้ รวมไปถึงสามารถบันทึกเป็นไฟล์นามสกุลต่าง ๆ ได้

4. ประเภทบริการเครือข่ายสังคม (Social Network Services)
ซอฟต์แวร์ประเภทบริการเครือข่ายสังคม คือ ซอฟต์แวร์ที่ให้บริการผู้คนสามารถท าความรู้จัก และ
เชื่อมโยงกัน มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุมชนออนไลน์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นที่ที่ทุกคนสามารถจำลองตัวเองไปในโลกที่เป็นโลกเสมือนในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลในสิ่งที่เราสนใจหรือกิจกรรมต่าง ๆ กับบุคคลอื่น ๆ ที่อยู่ทั่วทุกมุมโลกได้ ซอฟต์แวร์ประเภทบริการเครือข่ายสังคมส่วนใหญ่จะให้บริการอยู่ในรูปของโปรแกรมประยุกต์บนเว็บ (Web application)


สรุป
ซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์นั้น เกิดขึ้นจากความต้องการของมนุษย์ที่ต้องอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ
ต้องทำงานร่วมกัน ซึ่งในปัจจุบันนี้ สามารถที่จะท างานข้ามโลกไปได้ จึงได้มีการคิดค้นและพัฒนาเครื่องมือต่าง ๆขึ้นมามากมายให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน เครื่องมือเหล่านี้ มีวัตถุประสงค์ต่างกัน เช่น ใช้เพื่อการสื่อสารเพื่อการเก็บรวบรวมความรู้ขึ้นชื่อว่าเป็นเครื่องมือ ก็มีทั้งข้อดีละข้อเสีย สิ่งที่ผู้ใช้งานต้องคำนึงถึงคือ ผลกระทบที่จะตามมาในการใช้เครื่องมือนั้น ๆ อย่าคิดว่า ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น เพราะการเขียนข้อความหรือการกระทำใด ๆ ในอินเทอร์เน็ตนั้นสามารถติดตามและตรวจสอบได้ ดังนั้น เราจะต้องเรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างชาญฉลาดและในเชิงสร้างสรรค์