วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ข่าวเกี่ยวกับไอที ที่4

Microsoft เริ่มทดสอบความปลอดภัยของเว็บเบราว์เซอร์ Edge สำหรับธุรกิจ





ใน Windows 10 Insider Preview Build เวอร์ชั่นล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมา ทางไมโครซอฟต์ได้มีการเพิ่มคุณสมบัติใหม่ที่มีชื่อว่า Windows Defender Application Guard เข้ามาแล้ว หลังจากที่มีการประกาศพัฒนาตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว โดยความสามารถของมัน คือ การเปิดเว็บเบราว์เซอร์ใน Virtual machine ซึ่งจะช่วยจำกัดการโจมตีจากไวรัสและมัลแวร์เอาไว้ไม่ให้แพร่กระจายเข้าคอมพิวเตอร์ได้
สำหรับใครที่อยากทดสอบการใช้งานฟีเจอร์ใหม่นี้ ในตอนนี้จะมีให้ใช้งานได้แค่บน Windows 10 Insider Preview Build เท่านั้น เปิดใช้งานได้โดยไปที่ Windows features แล้วติ๊กเลือก "Windows Defender Application Guard" หลังจากนั้น เมื่อเราเปิดโปรแกรม Microsoft Edge ขึ้นมา จะมีตัวเลือก "New Application Guard window." ให้เลือกใช้ ซึ่งจะเป็นการเปิดหน้าต่างเบราว์เซอร์หน้าใหม่ขึ้นมา
การทำงานของ Application Guard ใช้เทคนิค Virtualization Based Security (VBS) บน Windows 10 ในการทำงาน เพื่อช่วยให้เบราว์เซอร์ Edge ทำงานใน "พื้นที่อิสระ" บนเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งหากเราโดนโจมตีในระหว่างการใช้งาน การโจมตีทั้งหมด จะไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ ทุกอย่างจะถูกจำกัดอยู่แค่ใน Sandboxes เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การใช้งาน Edge บน VBS ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง เนื่องจากเป็นการทำงานบน Virtual machine จึงมีการใช้ทรัพยากรที่สูงกว่าปกติ หากเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราไม่แรงจะทำให้โปรแกรมทำงานได้ช้ากว่าปกติ และสิ่งต่างๆ ที่เราทำ อย่างจดข้อมูล หรือดาวน์โหลดไฟล์ จะไม่ถูกบันทึกเก็บไว้เลย
ทั้งนี้ นอกเหนือจากส่วนของ Application Guard แล้ว ใน Windows 10 Insider Preview Build เวอร์ชั่นล่าสุด ยังมีการปรับปรุงในส่วนของการอ่านไฟล์ PDF และการตั้งค่าการทำงานของ Cortana อีกด้วย

ที่มา : www.engadget.com

ข่าวเกี่ยวกับไอที ที่3

Microsoft เปิดตัวโปรแกรม Visual Studio สำหรับเครื่อง Mac



ย้อนกลับไปในช่วงปลายปี 2016 ทาง Microsoft ปล่อยตัวอย่างของโปรแกรม Microsoft Visual Studio for Mac ออกมา โดยที่ยังไม่มีการประกาศว่าจะเปิดให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการได้เมื่อไหร่

และในที่สุด ทาง Microsoft ก็ได้เปิดตัว Microsoft Visual Studio for Mac ออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว ภายในงาน Microsoft’s developer conference, BUILD 2017 ด้วยโปรแกรมนี้ นักพัฒนาที่ใช้เครื่อง Mac จะสามารถใช้โปรแกรม Microsoft Visual Studio ในการพัฒนาแอพฯ สำหรับสมาร์ทโฟน, เว็บไซต์, .NET Core, Cloud ด้วย Xamarin, เกมส์ ด้วย Unity หรือโปรแกรมด้านอื่นๆ ที่ต้องการได้

Image Slider Arrow LeftImage Slider Arrow Right1 / 3Microsoft เปิดตัวโปรแกรม Visual Studio สำหรับเครื่อง MacMicrosoft เปิดตัวโปรแกรม Visual Studio สำหรับเครื่อง MacMicrosoft เปิดตัวโปรแกรม Visual Studio สำหรับเครื่อง Mac

ซึ่งทาง Microsoft ได้มีการยืนยันอย่างชัดเจนว่า นักพัฒนาสามารถใช้โปรแกรม Visual Studio 2017 ในการเขียนแอพฯ สำหรับ iOS, macOS, watchOS, tvOS, Android  และเว็บไซต์ได้

สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการใช้ Visual Studio 2017 for Mac สามารถเข้าไปดาวน์โหลดมาใช้งานได้แล้ว ผ่านทางเว็บไซต์ https://www.visualstudio.com








ที่มา : www.visualstudio.com
 , https://news.thaiware.com/10332.html

บทที่6 โลกไร้พรมแดน


บทที่6 โลกไร้พรมแดน


เว็บ หมายถึง World Wide Web คือกลุ่มของคอมพิวเตอร์ในอินเทอร์เน็ตที่ถูกเชื่อมต่อกันในแบบพิเศษ ที่ทำให้คอมพิวเตอร์เหล่านั้นสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เก็บไว้ภายในของแต่ละเครื่องได้ โดยผ่านทางเบราว์เซอร์

เว็บมาจากไหน
  • www ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกโดยมีโครงการทางวิชาการในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างนักวิทยาศาสตร์ในทวีปยุโรป 
  • มีศูนย์กลางอยู่ที่ CERN
  • บิดาของเว็บคือ Tim Berners-Lee คิดโครงการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร โดยใช้ระบบไฮเปอร์เท็กซ์
  • ปัจจุบัน Tim Berners-Lee ทำงานที่ World Wide Web Consortium

เครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
  • เว็บในโลกปัจจุบันเหมือนใยแมงมุมที่มีการเชื่อมโยงการสื่อสารและเครือข่ายจากทั่วโลก 
  • ใยแมงมุมมีจุดศูนย์กลางที่เห็นได้ชัดเจน 
  • WWW การเชื่อมโยงการสื่อสารเป็นโยงใยไม่มีจุดศูนย์กลาง 
  • โลกของอินเทอร์เน็ต ครอบคลุมและเข้าถึงได้หลายทิศทาง 

โลกอินเทอร์เน็ตกับธุรกิจ
  • โลกในอินเทอร์เน็ต เหมือนเป็นโลกใหม่ที่ทำให้เข้าถึง ตลาด กลุ่มลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว สะดวก และต้นทุนต่ำ
  • เดิมเว็บเป็นแค่เว็บนิ่ง ๆ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างเดียว หรือเรียกว่า Web 1.0 
  • พัฒนาไปสู่เว็บที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลตลอดเวลา ตามข้อมูลที่ผู้ใช้ส่งเข้ามาหรือเรียกว่า Web 2.0   เช่น Facebook, Twitter, YouTube 
  • จากการพัฒนาการนี้ ทำให้เว็บซับซ้อนขึ้นมากจนเรียกว่า เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Networking)  
Web 1.0 ยุคแห่งการเริ่มต้น
  • ไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก
  • อุปกรณ์ในการใช้งานอินเทอร์เน็ตยังมีราคาแพง
  • ค่าใช้จ่ายในการใช้งานมีราคาสูง
  • ความเร็วในการเชื่อมต่อและความเร็วในการใช้งานยังมีจำกัด
  • เว็บไซต์มีลักษณะการแสดงเนื้อหาเป็นข้อความและภาพนิ่ง
  • ทฤษฎีของการสื่อสารถือว่าเป็นการสื่อสารทางเดียว (One-way communication) เพราะไม่มีการตอบรับจากผู้ที่ได้รับข้อมูล (แต่สามารถส่ง email หาผู้เขียนได้)
Web 2.0 ยุคแห่งการพัฒนาการเชื่อมโยง
  • อุปกรณ์ในการใช้งานอินเทอร์เน็ตมีราคาถูกลง
  • จำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น 
  • มีลักษณะเป็นการแบ่งปันความรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
Web 3.0 ยุคของการพัฒนาเว็บไซต์
  • เว็บสามารถจัดการข้อมูลจำนวนมากได้ โดยเอาข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่มาจัดให้อยู่ในรูปแบบ Metadata 
  • Metadata หมายถึงข้อมูลที่สามารถบอกรายละเอียดได้ ทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าถึงเนื้อหาของเว็บได้ดีขึ้น 
  • Web 3.0 เป็นการเติมและเพิ่มความหมายเข้าไปในเนื้อหาสาระ ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น 
  • การค้นหาด้วยข้อความ
  • การค้นหาภาพ (Image Search) 
  • การค้นหาข้อมูลที่เป็นข้อมูลต่อเนื่อง (Stream line) เช่นคลิป เพลง วีดีโอ 
Web 4.0 ยุคที่เว็บมีความฉลาด
  • ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้ใช้ (Adaptable) 
  • ผู้บริโภคได้รับความสะดวกและได้รับข้อมูลที่พวกเขาต้องการมากที่สุด
  • เว็บที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
  • เว็บ 4.0 เป็นแนวคิดเบื้องต้น คือแทนที่จะต้องสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำอะไรโดยเข้าไปในโปรแกรมต่าง ๆ เว็บจะปรับตัวเองให้เข้ากับการใช้งานของผู้ใช้



ความสามารถในการรองรับการขยายตัวของโลกอินเทอร์เน็ต 

1. การสื่อสาร
  • ความสามารถหนึ่งของเว็บ คือการรองรับการขยายตัวของระบบ (Scalability) รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น 
  • เมื่อก่อนโทรศัพท์คุยกันต้องหยอดเหรียญกดเบอร์ แล้วรอสัญญาณจากปลายทางรับสาย 
  • สมัยนี้มือถือสามารถคุยเห็นหน้ากัน เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก  เช่น Google Hangout
2. การค้นหาเส้นทาง
  • สมัยก่อนการหาเส้นทางต้องใช้แผนที่นำทาง 
  • เมื่อเทคโนโลยีเว็บเข้ามาทำให้สามารถหาข้อมูลเส้นทางการเดินทางแบบออนไลน์ได้ 
  • เมื่อเทคโนโลยีเว็บขยายตัวทำให้การค้นหาสถานที่ต่าง ๆ สามารถแสดงภาพของสถานที่ที่เราจะไปเสมือนจริงเหมือนเรายืนอยู่ ณ ตำแหน่งนั้น ๆ  
3. การเก็บข้อมูล
  • พื้นที่จัดเก็บข้อมูลออนไลน์ ฟรีสำหรับแฟ้มข้อมูลต่าง 
  • มีการให้บริการจำนวนมาก เช่น OneDrive ของ Microsoft 
  • สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ เรียกใช้ไฟล์ได้ทุกเมื่อ 
  • สามารถซิงค์แฟ้มข้อมูลไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้โดยอัตโนมัติ 


ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ต 

1. ด้านการศึกษา
  • ช่วยให้ผู้ที่ศึกษาสามารถหาข้อมูล หาความรู้ต่าง ๆ เพิ่มเติม ซึ่งจะมีการเผยแพร่ข้อมูล งานวิชาการต่าง ๆ มากมาย 
  • มีระบบการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
2. ด้านธุรกิจ
  • อินเทอร์เน็ตสามรถทำธุรกิจด้านการค้า ซื้อและขายสินค้าบริการต่าง ๆ ได้โดยที่ผู้ซื้อผู้ขายสามารถติดต่อซื้อขายได้โดยตรง ทำให้สะดวก และประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และยังช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกิจ
3. ด้านการสื่อสาร
  • ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลก่อให้เกิดประโยชน์มากมายได้แก่
  • การติดต่อสื่อสาร 
  • เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล 
  • การส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail) 
  • การพูดคุยด้วยการส่งสัญญาณภาพและเสียง (Conference) เช่น Skype 
4. ด้านให้ความบันเทิง ข่าวสาร สิ่งที่น่าสนใจ
  • อินเทอร์เน็ตถือว่าเป็นแหล่งความบันเทิงได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง คล้ายการนั่งดูทีวี ดูหนัง อ่านหนังสือ หรือบทความต่าง ๆ ซึ่งสามารถจะดูหรือใช้งานที่ไหน เมื่อไหร่ ก็ได้ตามความต้องการ


โทษของอินเทอร์เน็ต

1. อนาจารผิดศีลธรรม
  • เนื้อหาข้อมูลต่าง ๆ ที่ส่อไปในทางขัดต่อศีลธรรม ลามก อนาจาร หรือรวมถึงภาพโป๊เปลือยต่าง ๆ จาก คลิปหลุดและคลิปแอบถ่าย ซึ่งอาจเป็นการนำไปสู่การหลอกลวงและอาชญากรรมได้
2. เด็กติดเกม
  • เด็กส่วนใหญ่ที่เข้าไปใช้บริการในร้านที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตนั้นไปเพื่อเล่นเกม 90% และเน้นเกมการต่อสู้รุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่การเลียนแบบ และอาจจะก่อให้เกิดอาชญากรรมได้
3. ไวรัสคอมพิวเตอร์ 

  • โปรแกรมซึ่งจะขยายพันธุ์โดยการจำลองตัวเองให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ เพื่อที่จะทำลายข้อมูลต่าง ๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ 
  • ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงโดยการใช้หน่วยความจำหรือพื้นที่ว่างบนดิสก์
4. ใช้อินเทอร์เน็ตวิธีในการหลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ 
  • ทำให้มีอาการผิดปกติ อย่างเช่น หดหู่ กระวน กระวายเมื่อเลิกใช้อินเทอร์เน็ต 
  • ต้องการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้นเรื่อย ๆ 
  • รู้สึกหงุดหงิดมาก เมื่อต้องใช้อินเทอร์เน็ตน้อยลง 
  • ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตของตัวเองได้ 
  • เสี่ยงต่อการสูญเสียงาน การเรียน และความสัมพันธ์ในครอบครัว


บทที่10 กฎหมายและจริยธรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ

บทที่10 กฎหมายและจริยธรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ

1. ทำไมต้องมีการออกกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ


  • สังคมสารสนเทศเป็นสังคมใหม่ 
  • การอยู่ร่วมกันในสังคมสารสนเทศ จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ เพื่อการอยู่ร่วมกันโดยสันติและสงบสุข เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน 
  • ทุกวันนี้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน มีการใช้คอมพิวเตอร์ และระบบสื่อสารกันมาก ขณะเดียวกันก็มีผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในทางที่ไม่ถูก ไม่ควร ดังนั้นจำเป็นต้องมีกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ 
  • เมื่อมีกฎหมายแล้ว    “ผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะปฏิเสธความผิดว่า ไม่รู้กฎหมายไม่ได้”


2. กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ

โดยคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ (กทสช) ได้ทำการศึกษา และยกร่างกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ จำนวน 6 ฉบับ ได้แก่
1. กฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
2. กฎหมายเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
3. กฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน
4. กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 
5. กฎหมายเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
6. กฎหมายเกี่ยวกับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์



อาชญากรคอมพิวเตอร์จะก่ออาชญากรรมหลายรูปแบบ ปัจจุบันทั่วโลกจัดออกเป็น 9 ประเภท

1. การขโมยข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงการขโมยประโยชน์ในการลักลอบใช้บริการ
2. อาชญากรนำเอาระบบการสื่อสารมาปกปิดความผิดของตนเอง
3. การละเมิดสิทธิ์ปลอมแปรงรูปแบบ เลียนแบบระบบซอฟต์แวร์โดยมิชอบ
4. ใช้คอมพิวเตอร์แพร่ภาพ เสียง ลามก อนาจาร และข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
5. ใช้คอมพิวเตอร์ฟอกเงิน
6. อันธพาลทางคอมพิวเตอร์ที่เช้าไปก่อกวน ทำลายระบบสาธารณูปโภค เช่น  ระบบจ่ายน้ำ  
        จ่ายไป ระบบการจราจร
7. หลอกลวงให้ร่วมค้าขายหรือลงทุนปลอม
8. แทรกแซงข้อมูลแล้วนำข้อมูลนั้นมาเป็น)ระโยชน์ต่อตนโดยมิชอบ เช่น ลักลอบค้นหารหัส 
        บัตรเครดิตของผู้อื่นมาใช้ ดักข้อมูลทางการค้าเพื่อเอาผลประโยชน์นั้นเป็นของตน
9. ใช้คอมพิวเตอร์แอบโอนเงินบัญชีผู้อื่นเข้าบัญชีตัวเอง

บทที่ 9 ไอซีทีอย่างรู้เท่าทัน

บทที่ 9 ไอซีทีอย่างรู้เท่าทัน

ภัยที่มากับอินเทอร์เน็ต เป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้
1. ภัยที่มีผลทางด้านข้อมูลหรือระบบคอมพิวเตอร์
2. ภัยที่มีผลทางด้านสังคม
3. ภัยที่มีผลต่อสุขภาพ

1. ภัยที่มีผลทางด้านข้อมูล หรือระบบ
1.1 วายร้ายโจรกรรมข้อมูล

  • การสอดแนม (Snooping หรือ Sniffing) หมายถึงการดักจับหรือแอบดูข้อมูล โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล
  • ฟิชชิง (Phissing หรือ Fishing) เป็นการปลอมอีเมลหรือเว็บไซต์เพื่อหลอกลวง เพื่อต้องการข้อมูลสำคัญจากผู้ถูกหลอก เช่น Username, Password, Credit Card Number และอื่น ๆ
  • สปายแวร์ (Spyware) เป็นซอฟต์แวร์ที่ฝังตัวอยู่ในเครื่องโดยทำพฤติกรรมไม่พึงประสงค์บางอย่าง เช่นพยายามโฆษณาสินค้า รวบรวมข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้
  • ลักษณะที่บ่งชี้ว่ามีสปายแวร์ที่เครื่อง  
  • 1. มีโฆษณาป๊อบอัพขึ้นมาบนหน้าจอ แม้ว่าไม่ได้ติดต่อกับอินเทอร์เน็ต 
  • 2. หน้าเว็บแรกเมื่อผู้ใช้เรียกบราวเซอร์ขึ้นมามีการเปลี่ยนแปลงโดยที่ผู้ใช้ไม่ได้เปลี่ยนด้วยตัวเอง 
  • 3. จะสังเกตเห็นทูลบาร์แบบใหม่ที่ไม่ต้องการในบราวเซอร์ และการขจัดทูลบาร์ดังกล่าวทิ้งไปทำได้ยากมาก 
  • 4. คอมพิวเตอร์ทำงานบางอย่างนานกว่าปกติ 
  • 5. เจอปัญหาคอมพิวเตอร์แฮงก์บ่อยครั้ง

1.2 วายร้ายทำลายข้อมูล (Malware)
  • เป็นซอฟต์แวร์ประเภทที่เป็นอันตรายต่อคอมพิวเตอร์โดยมันจะก่อกวน ทำลายข้อมูล สร้างความเสียหายกับระบบคอมพิวเตอร์ 
  • ประเภทของมัลแวร์ ได้แก่ 
  • ไวรัส (Virus) 
  • เวิร์ม (Worm) 
  • โทรจัน (Trojan)
ไวรัส (Virus) 
- เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อทำลายระบบคอมพิวเตอร์ 
- มีลักษณะการแพร่กระจายไปยังไฟล์ต่าง ๆ ที่อยู่ในเครื่อง และ ระบบเครือข่าย
- ปกติไวรัสจะแพร่กระจายโดยอาศัยโปรแกรมอื่นหรือมนุษย์เป็นผู้กระทำ

หนอน หรือ เวิร์ม (Worm) 
- เป็นโปรแกรมที่มีการแพร่กระจายตัวเองไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ที่อยู่ในเครือข่าย 
- โดยจะใช้ประโยชน์จากโปรแกรมที่รับ-ส่งไฟล์โดยอัตโนมัติเป็นช่องทางในการแพร่กระจาย และไม่ต้องอาศัยมนุษย์ในการเปิดไฟล์ใด ๆ เพื่อแพร่กระจายตัว  

โทรจันฮอร์ส (Trojan Horse) 
- โปรแกรมม้าโทรจันดูเหมือนจะมีประโยชน์ แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อทำลายโปรแกรมต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ 
- มักเรียกการทำงานของม้าโทรจันว่า “ปฏิบัติการเพื่อล้วงความลับ”
- ม้าโทรจันต่างจากไวรัส และหนอน คือมันไม่สามารถทำสำเนาตัวเองและแพร่กระจายตัวเองได้ แต่มันสามารถอาศัยตัวกลาง อาจเป็นโปรแกรมต่างๆ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือการไปโหลดไฟล์จากแหล่งต่างๆ   


1.3 วายร้ายแทรกแซงการทำงาน
  • สแปม (Spam) 
คือ การส่งข้อมูลที่ผู้รับไม่ได้ร้องขอ จนทำให้ผู้รับเกิดความรำคาญ รวมถึงเป็นการก่อกวน และรบกวนผู้อื่นโดยมีจุดประสงค์ที่ต่าง ๆ กัน 
สแปมสามารถทำผ่านสื่อหลาย ๆ ชนิด เช่น E-mail, Instant Messaging, Webboard, SMS on Mobile phone ฯลฯ
หากเราพบกับภัยที่มาจากอีเมลที่ไม่แน่ใจว่ามีไวรัส หรือภาพโป๊    ฟอร์เวิร์ดอีเมลที่ไร้สาระ ถ้ามีอีเมลที่เราไม่รู้จักเข้ามา ก็ควรลบทิ้ง

  • การโจมตีแบบการปฎิเสธการให้บริการ (Denial of Service : DoS) 
เป็นความพยายามทำให้เครื่องหรือทรัพยากรเครือข่ายสำหรับผู้ใช้เป้าหมายใช้บริการไม่ได้ 



2. ภัยที่มีผลทางด้านสังคม

2.1 ภัยจากการแชท
- การแชท หมายถึง การพูดคุยกันทางอินเทอร์เน็ต 
- เป็นภัยด้านสังคมจากอินเทอร์เน็ตที่พบง่ายและบ่อยที่สุด
- การแชทกับคนแปลกหน้าถ้าเราเผลอให้ข้อมูลส่วนตัว หรือนัดเจอกัน เราอาจตกเป็นเหยื่อของคนเหล่านี้ได้ 
- การแชทโดยไม่มีขอบเขต จะนำไปสู่การถูกล่อลวง ไปทำเรื่องมิดีมิร้าย จนเป็นการสร้างปัญหาให้สังคม  
2.2 ภัยจากการเล่นเกมออนไลน์ 
- ปัจจุบันเกมออนไลน์มีมาก บางเกมส่อไปในทางลามกอนาจาร  นำเสนอภาพที่รุนแรง บางเกมมีการขายของที่อยู่ในเกม หลายคนเคยตกเป็นเหยื่อเพราะโดนหลอกซื้อของในเกม
- นักเรียนต้องรู้จักข่มใจตนเอง เลือกเล่นเฉพาะเกมที่สร้างสรรค์ กำหนดเวลาเล่นให้เป็น 
- สิ่งเหล่านี้เป็นตัวบั่นทอนทำให้เสียสุขภาพกาย สุขภาพจิต รวมถึงเสียการเรียน

2.3 ภัยจากการท่องเว็บ 
1. การโฆษณาหลอกลวงขายสินค้า
2. เว็บดาวน์โหลด ถ้าดาวน์โหลดสุ่มสี่สุ่มห้า อาจจะมีไวรัสแถมมาด้วย 
3. เว็บโป๊ อนาจาร 
4. เว็บบอร์ด กระดานถามตอบ อาจมีการโพสต์ข้อความชวนเชื่อ โกหกบ้าง จริงบ้าง ใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพเพื่อกลั่นแกล้งกัน 
5. ภัยจากอีเมล์ก็มีไวรัส หรือภาพโป๊ ฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ไร้สาระ ถ้ามีเมล์ที่เราไม่รู้จักเข้ามา ก็ควรลบทิ้ง


3. ภัยที่มีผลต่อสุขภาพ

3.1 ภัยที่มีผลต่อสุขภาพกาย
  • ดวงตา
การจ้องจอคอมพิวเตอร์หรือจอโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานมีผลต่อกล้ามเนื้อและระบบประสาทตา ทำให้เกิดอาการเมื่อยตา สายตาเสื่อม ปวดกล้ามเนื้อและปวดศีรษะคลื่นไส้

  • ระบบประสาท
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของคอมพิวเตอร์อาจมีผลต่อระบบประสาท แม้ว่ารังสีชนิดต่าง ๆ จากหน้าจอคอมพิวเตอร์จะมีความปลอดภัย 
แต่การรับรังสีเป็นเวลานานก็อาจจะส่งผลกระทบถึงระบบประสาทของมนุษย์ได้เช่นกัน เช่น อาจเกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้  อึดอัด และนอนไม่หลับ เป็นต้น 

  • ระบบสืบพันธุ์
คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปหรือโน๊ตบุ๊ค ที่หลายคนชอบวางไว้บนหน้าตัก จะทำให้อุณหภูมิที่ลูกอัณฑะสูงขึ้นซึ่งมีผลต่อการสร้างสเปิร์มของผู้ชายทุกคน ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นหมัน

  • โรคที่เกิดจากท่านั่งหรือการทำงานซ้ำซาก
การนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ทำให้เกิดโรค Cumulative Trauma Disorders อาการของโรคจะค่อยเป็นค่อยไป จะมีอาการปวดคอ ไหล่ ข้อมือ และหลัง ผู้ที่เป็นมาก ๆ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการชาที่มือ
การรักษาคือ ผู้ป่วยต้องปรับพฤติกรรมการทำงาน หรือถ้าเป็นมากควรปรึกษาแพทย์


3.2 ภัยที่มีผลต่อสุขภาพจิต
  • โรคติดอินเทอร์เน็ต
สาเหตุเกิดมาจากใช้เน็ตมากเกินไป ทำให้ซึมเศร้า ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม โรคติดอินเทอร์เน็ตนั้นก็คล้าย ๆ กับการติดสิ่งเสพติดที่สร้างปัญหาให้เกิดกับอารมณ์ ร่างกาย สังคม

  • โรคทนรอไม่ได้ (Hurry Sickness) 
มักจะเกิดกับผู้ที่เล่นอินเทอร์เน็ต ที่ทำให้คนกลายเป็นคนขี้เบื่อ หงุดหงิดง่าย ใจร้อน เครียดง่าย 
เช่น ทนรอเครื่องดาวน์โหลดนาน ๆ ไม่ได้ กระวนกระวาย หากมีอาการมาก ๆ ก็จะเข้าข่ายโรคประสาทได้ 

  • โรคสมาธิสั้นจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ 
- การทำงานในลักษณะ Multitasking  อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคร้ายใหม่ที่ชื่อว่า Attention Deficit Trait หรือ ADT
- ADT เกิดจากสภาวะแวดล้อมเป็นหลัก มักจะมีอาการสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งได้นาน ๆ มีความวุ่นวายอยู่ข้างใน ไม่ค่อยอดทน มีปัญหาในการจัดระบบต่าง ๆ (Unorganized) การจัดลำดับความสำคัญ และการบริหารเวลา


แนวทางการป้องกัน

1. การป้องกันข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ 

1.1 ผู้ใช้ต้องอัพเดตระบบปฏิบัติการอยู่เสมอ
การอัพเดตระบบจะช่วยทำให้คอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น ง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น และสามารถแก้ไขช่องโหว่ของความปลอดภัยที่บางครั้งโปรแกรมตัวก่อน ๆ นั้นไม่สามารถปกป้องได้

1.2 ควรมีบัญชีผู้ใช้และรหัสผ่านในการใช้งานเครื่องหรือระบบอ่อนไลน์ต่าง ๆ
เพื่อให้ผู้ใช้งานคนอื่น ๆ เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของเจ้าของได้ยาก  

1.3 การป้องกันทางกายภาพ
- แม้รหัสผ่านจะช่วยป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพเข้าถึงข้อมูลได้ทันที แต่มันไม่สามารถช่วยปกป้องข้อมูลของเราไม่ให้ถูกทำลายได้ 
- ดังนั้น นอกจากการตั้งรหัสผ่านแล้ว เราไม่ควรวางเครื่องคอมพิวเตอร์/โทรศัพท์มือถือทิ้งไว้ในที่ต่าง ๆ ในที่สาธารณะในขณะที่ตัวเราไม่อยู่

1.4 ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและป้องกันสปายแวร์
 - ผู้ใช้งานควรติดตั้งและใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส (Anti-Virus) และป้องกันสปายแวร์ (Anti-Spyware) และควรหมั่นอัพเดตเสมอ 
- เพื่อป้องกันโปรแกรมจำพวกมัลแวร์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขโมยข้อมูลหรือเพื่อใช้คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานในทางที่ไม่ดี 

1.5 การใช้อุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่อยู่ภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์บันทึกข้อมูลแบบพกพา 
- ผู้ใช้ควรระมัดระวังในการเสียบแฟลชไดร์ฟเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์หรือให้บุคคลอื่นยืมไปใช้
- ผู้ใช้ไม่ควรเปิดไฟล์ที่ตนเองไม่รู้จักหรือไม่น่าไว้ใจ 
- ก่อนใช้แฟลชไดร์ฟทุกครั้งต้องมั่นใจว่าโปรแกรมป้องกันไวรัสได้เปิดไว้ที่เครื่อง และทำการสแกนก่อนใช้ทุกครั้ง

1.6 การเลือกใช้ซอฟต์แวร์ที่น่าเชื่อถือและซอฟต์แวร์แบบโอเพ่นซอร์ส
- ผู้ใช้ควรเลือกใช้โปรแกรมจากผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายที่มีความน่าเชื่อถือ หรือเลือกใช้โปรแกรมแบบโอเพ่นซอร์ส 
- ไม่ควรใช้ซอฟต์แวร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ซึ่งส่วนมากมักมีไวรัสติดมาด้วย 
- ไม่ควรดาว์นโหลดไฟล์ข้อมูลหรือโปรแกรมจากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ 



วิธีป้องกันโรคที่ส่งผลต่อร่างกายเมื่อเราใช้อินเทอร์เน็ตนาน
 หลัก 20:20:20 หรือ พักการทำงาน 20 วินาที หลังจากทำงาน 20 นาที และมองไปไกล 20 ฟุต และทุก ๆ 1-2 ชั่วโมง ควรลุกขึ้นยืน หลับตา หรือมองไปที่ไกล ๆ มองต้นไม้สีเขียว บริหารดวงตาด้วยการกลอกตาเป็นวงกลม 5-6 รอบ ใช้นิ้วนางแตะหัวตาแต่ละข้าง คลึง กดจุด 1-2 วินาที 










บทที่8 ชีวิตง่ายๆในโลกดิจิทัล

บทที่8 ชีวิตง่ายๆในโลกดิจิทัล

ความสำคัญของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

จะสามารถพิจารณาได้จากคุณสมบัติของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์8 ประการ ดังนี้
1. ใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา (Ubiquity)
2. เข้าถึงได้ทั่ว (Global reach)
3. การมีมาตรฐานสากล (Universal standards)
4. การรองรับสื่ออย่างครบถ้วนสมบูรณ์ (Richness)
5. การมีปฏิสัมพันธ์ (Interactivity)
6. การมีข้อมูลที่รองรับการใช้งานมาก (Information density)
7. การตอบสนองต่อความต้องการของแต่ละบุคคล(Personalization/Customization)
8. การมีเทคโนโลยีสังคม (Social technology)


ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์(E-Business) หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ ต่าง ๆ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
การใช้คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และอินเทอร์เน็ต เพื่อทำให้กระบวนการทางธุรกิจมีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของคู่ค้าและลูกค้าให้ตรงใจและรวดเร็ว เพื่อลดต้นทุน และขยายโอกาสทางการค้าและการบริการ

ซึ่งธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์นั้นสามารถแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะได้แก่

1. การติดต่อสื่อสารและประสานการทำงานร่วมกัน (Communication and Collaboration)
2. การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์(Electronic Commerce) 
3. ระบบธุรกิจภายในองค์การ ( Internal Business System) 


ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
การพิจารณาประเภทของการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้นสามารถพิจารณาได้จากหลายหลักการ ซึ่งใน
บทเรียนนี้จะใช้หลักการของคู่ค้า
จากหลักการของคู่ค้าเมื่อพิจารณาความเกี่ยวข้องกับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้วจะแบ่งกลุ่มบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่
- กลุ่มธุรกิจ (Business)
- กลุ่มรัฐบาล (Government)
- กลุ่มประชาชน (Citizen) ผู้บริโภค (Consumer) หรือ ลูกค้า (Customer)


ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกันในทางพานิชย์อิเล็กทรอนิกส์มี 5 ลักษณะดังนี้
1. Business to Consumer หรือ Business to Customer (B2C) เป็นลักษณะที่กลุ่มธุรกิจให้บริการ
ขายสินค้าแก่ลูกค้าหรือผู้บริโภค 
2. Business to Business (B2B) เป็นลักษณะที่กลุ่มธุรกิจให้บริการขายสินค้ากับกลุ่มธุรกิจด้วยกัน ซึ่ง
โดยส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะขององค์การขนาดใหญ่ที่มีการซื้อขายวัตถุดิบระหว่างกัน
3. Business to Government (B2G) เป็นลักษณะที่กลุ่มธุรกิจให้บริการกับกลุ่มรัฐบาล เช่น การ
ให้บริการจัดซื้อจัดจ้างแก่หน่วยงานรัฐบาล ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกแทนหน่วยงานภาครัฐที่จะต้องเป็นผู้การดำเนินเองทั้งหมด ก็ให้กลุ่มธุรกิจเอกชนดำเนินการลงทุนเทคโนโลยีต่าง ๆ แทนให้
4. Government to Citizen (G2C) เป็นลักษณะที่กลุ่มรัฐบาลให้บริการ (ฟรี) กับกลุ่มประชาชน ผ่าน
ทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ 
5. Consumer to Consumer (C2C) เป็นลักษณะที่กลุ่มผู้บริโภคขายสินค้าให้กับกลุ่มผู้บริโภคด้วย
กันเอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นการค้าปลีก สินค้าท าเอง หรือสินค้ามือสอง และมักจะอาศัยเว็บไซต์ตลาดกลางในการขายสินค้า


ประเภทสินค้าและบริการที่พบของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

เมื่อพิจารณาสินค้าที่จ าหน่ายผ่านทางการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้วนั้น จะสามารถจำแนกออกได้เป็น 3ลักษณะ ดังนี้
1) กลุ่มสินค้าที่จับต้องได้ การขายสินค้าในลักษณะนี้ จะเป็นสินค้าในรูปวัตถุสิ่งของ เช่น นาฬิก โทรศัพท์
หนังสือ ซีดี/ดีวิดี เป็นต้น ในการซื้อสินค้าเหล่านี้ผู้ซื้อจะต้องอาศัยการสังเกตและความรอบคอบต่อผู้จำหน่ายเนื่องจากสินค้าเหล่านี้ผู้ซื้อไม่สามารถจับต้องหรือได้เห็นสินค้าจริงก่อนที่จะสั่งซื้อ จึงมีโอกาสที่ได้สินค้าไม่ตรงกับความต้องการอย่างแท้จริง และสินค้าในกลุ่มนี้จะต้องอาศัยการจัดส่งมายังลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่ผู้จำหน่ายได้จัดเตรียมไว้อีกด้วย
2) กลุ่มสินค้าที่จับต้องไม่ได้ การขายสินค้าในกลุ่มนี้จะให้ผู้ซื้อท าการดาวน์โหลด ภายหลังการช าระเงิน
ส าหรับสินค้าในกลุ่มนี้ได้แก่ เกมส์ เพลง หรือโปรแกรมต่าง ๆ เป็นต้น ข้อดีประการหนึ่งของสินค้าในกลุ่มนี้คือ ผู้จ าหน่ายบางรายอาจมีตัวทดลองในลักษณะแชร์แวร์ (Share Ware) ไว้ให้ผู้ซื้อได้ทดลองใช้ก่อนตามเงื่อนไข ถ้าหากพึงพอใจค่อยติดต่อซื้อในภายหลัง และสิ่งที่ต้องระวังของการซื้อสินค้าในรูปแบบนี้คือ การเชื่อมต่อสัญญาณเพื่อดาวน์โหลด เนื่องจากบางครั้งถ้าผู้ซื้อดาวน์โหลดด้วยระบบโทรศัพท์อาจจะมีค่าบริการโทรศัพท์ในการดาวน์โหลดเป็นจำนวนมาก เนื่องจากไฟล์ที่มีขนาดใหญ่และสัญญาณอาจไม่คมชัด
3) กลุ่มบริการ เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการท าธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ได้ขายสินค้า แต่เน้น
ให้บริการ เช่น บริการจองตั๋วภาพยนตร์ จองตั๋วคอนเสิร์ต จองซื้อทัวร์หรือตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น ซึ่งการบริการเหล่านี้ผู้ใช้บริการจะต้องตรวจสอบผู้ให้บริการก่อนถึงความน่าเชื่อถือ การรับประกันบริการ รวมถึงเงื่อนไขความรับผิดชอบของการให้บริการ



กระบวนการซื้อสินค้าด้วยรูปแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

ขั้นที่ 1 การค้นหา เป็นขั้นตอนที่ลูกค้าจะค้นหาร้านที่จำหน่ายสินค้า ซึ่งจะเป็นการค้นหาเว็บไซต์และระบุ
เว็บไซด์ที่ตรงกับความต้องการในการเลือกซื้อของลูกค้า
ขั้นที่ 2 การเลือก เป็นขั้นตอนที่ลูกค้าได้เห็นคุณสมบัติของสินค้าในด้านต่าง ๆ เช่น ภาพสินค้า
รายละเอียดสินค้า คุณภาพสินค้า และราคาสินค้า เป็นต้น
ขั้นที่ 3 การซื้อสินค้าและบริการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นขั้นตอนการซื้อสินค้าและบริการผ่านทางรูปแบบ
อิเล็กทรอนิกส์ โดยที่หลังจากลูกค้าเลือกสินค้าแล้ว ก็จะระบุวิธีการจัดส่งและการชำระเงิน 
ขั้นที่ 4 การจัดส่งสินค้า หลังจากที่ลูกค้าได้ซื้อสินค้า ผู้จ าหน่ายจะด าเนินการจัดส่งสินค้าซึ่งทั้งนี้ขึ้นอยู่
กับลักษณะของสินค้าหรือบริการที่ลูกค้าซื้อ
ขั้นที่ 5 การบริการหลังการขาย เป็นขั้นตอนในการให้ความคุ้มครองและสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า
โดยที่ลูกค้าสามารถติดต่อคืนสินค้า เปลี่ยนสินค้า ซ่อมแซมสินค้า หรือขอคำปรึกษาในเรื่องสินค้า บริการตามระยะเวลาข้อตกลง
ขั้นที่ 6 การประเมินผลหลังการขาย นอกเหนือจากที่ผู้จำหน่ายอาจจัดให้มีช่องทางในการติดต่อสื่อสาร
เช่น การแจ้งข่าวสารผ่านเว็บไซต์ เว็บบอร์ด หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์แล้วนั้น อาจจะมีการช่องทางในการประเมินผลหลังการขาย โดยอาจจะเป็นการจัดอันดับเรตติ้งของผู้จำหน่าย ความชอบในสินค้า ซึ่งผู้ซื้อจะเป็นผู้ทำการประเมิน ซึ่งส่งผลดีต่อลูกค้ารายอื่น ๆ ที่มีความสนใจจะได้เข้ามาพิจารณาการประเมินผลของลูกค้าที่เคยใช้บริการ และเป็นผลดีต่อร้านค้า


กลโกง การหลอกลวงของผู้จำหน่าย
- การหลอกลวงให้เปิดเผยข้อมูลทางการเงินหรือบัตรเครดิต อาจพบได้ในกรณีที่ลูกค้าซื้อสินค้าจาก
เว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือเว็บไซต์ที่ไม่มี วิธีการป้องกันในการส่งข้อมูลทางการเงิน
- การเปิดร้านค้าปลอม โดยอาจเปิดเว็บไซต์เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ หลอกให้ลูกค้า โอนเงิน แต่ไม่ส่งสินค้าไปให้
- การหลอกประกาศขายสินค้า ใช้ข้อความประกาศว่าเป็นสินค้าราคาถูก และบางครั้งอาจพบว่าร้านค้ามี
การให้ที่อยู่ปลอมเพื่อความน่าเชื่อถือ และหลอกให้โอนเงินไปให้ โดยส่วนใหญ่มักพบในกลุ่มสินค้าราคาสูง เช่น กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์สมาร์ทโฟน เป็นต้น
- การส่งสินค้าปลอม สินค้าไม่ถูกลิขสิทธิ์ หรือสินค้าที่ไม่ตรงกับที่สั่งซื้อ
- การโฆษณาสินค้าที่หลอกลวงในสรรพคุณมากเกินจริง เช่น ยาวิตามิน อาหารเสริมต่าง ๆ 
- การหลอกลวงในการประมูลสินค้า เช่น ผู้จำหน่ายไม่ส่งสินค้าให้ผู้ชนะการประมูลเพราะไม่มีสินค้าจริง ,
การปั่นราคาให้ราคาสูงเกินจริง เป็นต้น


การป้องกันเพื่อการซื้อสินค้า

1. ผู้ซื้อควรเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้จำหน่ายที่น่าเชื่อถือ คือ มีรายละเอียดชื่อ ที่อยู่ของผู้จำหน่าย
สินค้า หรือวิธีที่สามารถติดต่อได้ โดยอาจค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านเว็บไซต์ Search engine เช่น Google หากไม่มั่นใจผู้จำหน่าย ก็ควรหลีกเลี่ยงไปใช้บริการของร้านค้าที่เป็นที่รู้จัก
2. อย่าเห็นแก่ราคาสินค้าที่ถูกเกินไป และพยายามเร่งรัดและระมัดระวังในการซื้อสินค้า รวมถึงต้องเก็บ
หลักฐานการซื้อสินค้าเอาไว้เสมอ
3. ห้ามให้ข้อมูลสำคัญ เช่น หมายเลขบัตรประชาชน เป็นต้น และถ้าหากเป็นการช าระเงินด้วยบัตร
เครดิตทางอินเทอร์เน็ต ผู้ซื้อต้องระวังการให้ข้อมูลบัตรเครดิต
4. ถ้าหากเป็นผู้จำหน่ายสินค้ารายใหม่ หรือยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาด ก็ไม่ควรโอนเงินหากยังไม่ได้รับสินค้าหรือถ้าเป็นไปได้ควรนัดรับสินค้าและตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนการชำระเงิน
5. สังเกตการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้จ าหน่ายสินค้า เพื่อสร้างความน่าไว้วางใจในเว็บไซต์ที่ให้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ผู้จำหน่ายสินค้าควรจะจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
6. สังเกตการใช้โปรโตคอล SSL (Secure Sockets Layer) เพื่อรักษาความปลอดภัยและความเป็น
ส่วนตัว เว็บไซต์มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเช่นเว็บไซต์ของธนาคาร หรือ เว็บไซต์ขายสินค้าที่มีความน่าเชื่อถือมักจะมีการรักษาความปลอดภัยด้วยโปรโตคอล SSL ซึ่งสังเกตได้จาก การมีสัญลักษณ์รูปแม่กุญแจปิดล็อค และนอกจากนั้นที่ URL จะเปลี่ยนจาก โปรโตคอล http:// เป็น https://
7. มีการใช้ใบรับรองดิจิตอล (Digital Certificate) เพื่อเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ
ความปลอดภัยในเว็บไซต์หรือยืนยันตัวตนของผู้ที่เป็นเจ้าของ ซึ่งผู้ให้บริการจะได้มีการจดทะเบียนใบรับรองดิจิตอล จากบริษัทหรือหน่วยงานที่น่าเชื่อถือซึ่งเรียกว่า Certificate Authority (CA)



วิธีการแก้ปัญหาเมื่อพบว่าโดนโกง

ถ้าหากลูกค้าพบปัญหาว่าตนเองโดนโกงไปแล้วควรรวบรวมข้อมูลหลักฐาน เพื่อติดตามคนร้าย
อาทิเช่น (อ้างอิง : www.pawoot.com/online-fraud)
- หมายเลข IP address ของคนร้าย (ช่วงเวลาและสถานที่)
- หมายเลขโทรศัพท์คนร้าย
- E-Mail คนร้าย
- บัตรประชาชนที่คนร้ายใช้อ้าง
- วัน เวลา สถานที่ ลงประกาศ นัดเจอ โอนเงิน
- เลขบัญชี การเดินทางของเงินในบัญชี ทั้งข้อมูลธนาคาร สาขา การโอนเงิน
- การสังเกตน้ าเสียงและลักษณะของคนร้าย
จากนั้นให้ดำเนินการแก้ปัญหาได้ ในช่องทางต่าง ๆ ดังนี้
- เก็บรวมรวมหลักฐานต่าง ๆ แล้วไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจากนั้นติดต่อกองบังคับ
การปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(http://www.tcsd.in.th) เพื่อ
ประสานติดตามเรื่องต่อไป
- ติดต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานเพื่อคุ้มครองการซื้อ
สินค้าจากตัวแทนขายตรง คุ้มครองตัวแทนขายตรงจากเจ้าของสินค้าและยังครอบคลุมถึงการค้าแบบ
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ด้วย
- กรณีช าระค่าสินค้าโดยการโอนเงิน ให้รีบติดต่อธนาคารโดยอาจติดต่อขอระงับการโอนเงิน ซึ่ง
ทางธนาคารจะท าการยกเลิกการโอนเงินให้โดยติดตามน าเงินจากบัญชีปลายทางที่โอนไปกลับมาคืน ซึ่ง
วิธีการนี้โดยส่วนมากมักได้ผลถ้าหากรีบดำเนินการเมื่อพบความผิดปกติ
- กรณีชำระค่าสินค้าด้วยบัตรเครดิต ซึ่งหากพบรายการผิดปกติใด ๆ หรือเชื่อว่าตนอาจถูกหลอก
หรือมีผู้ใช้บัตรเครดิตโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องรีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทหรือธนาคารที่ออกบัตรทราบและทำหนังสือปฏิเสธการใช้บัตรเพื่อระงับรายการนั้นไว้ชั่วคราว




บทที่7 สังคมโลกเสมือน

สังคมโลกเสมือน

ความหมายของซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์

ซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์ คือ ซอฟต์แวร์ที่ทำให้ผู้คนสามารถนัดพบปะเชื่อมสัมพันธ์แลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นในเรื่องที่สนใจอย่างสร้างสรรค์หรือทำงานร่วมกัน โดยมีคอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลาง เกิดเป็นสังคมหรือชุมชนออนไลน์ในการศึกษาซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์นั้น ต้องทำความเข้าใจกับคำว่าซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคม
ออนไลน์สามารถจำแนกการแบ่งประเภทต่าง ๆ ของซอฟต์แวร์ออกเป็น 4 ประเภท  ได้แก่
1. ประเภทการบริหารจัดการความรู้ (Knowledge Management)
2. ประเภทเครื่องมือการติดต่อสื่อสาร (Communication Tools)
3. ประเภทเครื่องมือเพื่อร่วมประสานงานแบบทันทีทันใด (Collaborative real-time editors)
4. ประเภทบริการสังคมเครือข่าย (Social Network Services)

ประเภทของซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์

1. ประเภทกำรบริหารจัดการความรู้ (Knowledge Management)
เครื่องมือประเภทจัดการความรู้ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของเว็บแอพลิเคชัน หรือเครื่องมือที่ทำงานผ่าน
เว็บบราวเซอร์ ลักษณะของการใช้งานจะเป็นลักษณะการเก็บเรื่องราว การบันทึก การถามคำถาม การตอบคำถามการแสดงความเห็นหรือมุมมองต่าง ๆ ทั้งในเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องทั่ว ๆ ไป

2. ประเภทเครื่องมือการติดต่อสื่อสาร (Communication Tools)
ซอฟแวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์นอกจากจะให้เราจัดการความรู้ได้แล้ว ยังทำให้เราได้รู้จัก พูดคุย และ
ติดต่อสื่อสารกับคนที่อยู่ต่างถิ่นทั่วโลกได้โดยซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภทการติดต่อสื่อสาร ซึ่งเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกของอินเทอร์เน็ตนั้นคือ จดหมาย
อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 60 ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต

3. ประเภทเครื่องมือเพื่อร่วมประสานงานแบบทันทีทันใด (Collaborative real-time editors)
เครื่องมือเพื่อร่วมประสานงานแบบทันทีทันใด เป็นเครื่องมือที่ใช้ในกิจกรรมการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มในลักษณะออนไลน์ ไม่ต้องมีการพบปะหน้าตากันในชีวิตจริง แต่จะสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เครื่องมือนี้สามารถให้ทำงานพร้อม ๆ กันได้ โดยที่ผู้ร่วมทำงานกับเราอยู่กันในเครือข่ายนี้ ซอฟต์แวร์ตัวแรก คือ SubEthaEdit ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ต้องติดตั้งลงในระบบปฏิบัติการ Mac OSX ซึ่งไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากใช้ได้กับเฉพาะระบบปฏิบัติการนี้เท่านั้น ต่อมาเมื่อเกิดเทคโนโลยี Web 2.0 ซึ่งทำให้การทำงานของเว็บไซต์สามารถดำเนินงานโต้ตอบกับมนุษย์แบบรวดเร็วและทันทีทันใดได้ จึงได้เกิดซอฟต์แวร์ที่เป็นลักษณะที่ใช้เว็บไซต์เป็นพื้นฐาน (web-based application) เช่น Google Doc ที่สามารถสามารถสร้างไฟล์ทั้งเอกสารประมวลผลคำแบบอลน์ไลน์ ซึ่งได้รับความนิยมมาก อีกทั้งยังมีเอกสารตารางคำนวณ เอกสารนำเสนอ รวมไปถึงการสร้างแบบฟอร์มต่าง ๆ ได้อีกด้วย ในส่วนของการประสานงานกับสมาชิกในกลุ่ม สามารถส่งคำเชิญ เพื่อให้ร่วมกันแก้ไขไฟล์เดียวกันได้สามารถดูประวัติย้อนหลังของการดำเนินการได้สามารถยอมให้คนอื่น ๆ เห็นข้อมูลได้ รวมไปถึงสามารถบันทึกเป็นไฟล์นามสกุลต่าง ๆ ได้

4. ประเภทบริการเครือข่ายสังคม (Social Network Services)
ซอฟต์แวร์ประเภทบริการเครือข่ายสังคม คือ ซอฟต์แวร์ที่ให้บริการผู้คนสามารถท าความรู้จัก และ
เชื่อมโยงกัน มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุมชนออนไลน์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นที่ที่ทุกคนสามารถจำลองตัวเองไปในโลกที่เป็นโลกเสมือนในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลในสิ่งที่เราสนใจหรือกิจกรรมต่าง ๆ กับบุคคลอื่น ๆ ที่อยู่ทั่วทุกมุมโลกได้ ซอฟต์แวร์ประเภทบริการเครือข่ายสังคมส่วนใหญ่จะให้บริการอยู่ในรูปของโปรแกรมประยุกต์บนเว็บ (Web application)


สรุป
ซอฟต์แวร์เครือข่ายสังคมออนไลน์นั้น เกิดขึ้นจากความต้องการของมนุษย์ที่ต้องอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ
ต้องทำงานร่วมกัน ซึ่งในปัจจุบันนี้ สามารถที่จะท างานข้ามโลกไปได้ จึงได้มีการคิดค้นและพัฒนาเครื่องมือต่าง ๆขึ้นมามากมายให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน เครื่องมือเหล่านี้ มีวัตถุประสงค์ต่างกัน เช่น ใช้เพื่อการสื่อสารเพื่อการเก็บรวบรวมความรู้ขึ้นชื่อว่าเป็นเครื่องมือ ก็มีทั้งข้อดีละข้อเสีย สิ่งที่ผู้ใช้งานต้องคำนึงถึงคือ ผลกระทบที่จะตามมาในการใช้เครื่องมือนั้น ๆ อย่าคิดว่า ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น เพราะการเขียนข้อความหรือการกระทำใด ๆ ในอินเทอร์เน็ตนั้นสามารถติดตามและตรวจสอบได้ ดังนั้น เราจะต้องเรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างชาญฉลาดและในเชิงสร้างสรรค์










วันอังคารที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2560

ข่าวเกี่ยวกับไอที 2

Elon Musk เริ่มหาทางสร้าง AI ที่สามารถทำงานร่วมกับสมองของมนุษย์ได้




Elon Musk ชายอัจฉริยะที่ไม่เคยหยุดพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบจ่ายเงินอย่าง Paypal, รถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำ Teslas หรือจรวดที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่ กำลังจะเปิดบริษัทใหม่อีกแล้ว โดยทาง Wall Street Journal ได้รายงานว่า โปรเจคส์ใหม่ของ Musk มีชื่อว่า Neuralink มีเป้าหมายที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมต่อสมองของมนุษย์เข้ากับคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง

Elon Musk เริ่มหาทางสร้าง AI ที่สามารถทำงานร่วมกับสมองของมนุษย์ได้

Wall Street Journal ได้ระบุว่า Musk กำลังง่วนอยู่กับ Startup กลุ่มหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีเป้าหมายในการสร้างกะโหลกคอมพิวเตอร์ในกะโหลกศรีษะเพื่อวินิจฉัยโรคในร่างกายมนุษย์ และการสร้างมนุษย์แบบไฮบริดที่มีการทำงานของคอมพิวเตอร์ผสมในร่างกาย ซึ่ง Musk มีไอเดียว่ามนุษย์ควรจะพัฒนาร่วมกับระบบ AI เพื่อให้ความสามารถพัฒนาไปได้ไกลกว่าเดิม

Neuralink ได้จดทะเบียนในรัฐแคลิฟอร์เนี่ย ในฐานะบริษัทวิจัยยา มีรายงานว่าได้รับนักวิจัยสาขาเกี่ยวประสาทวิทยา รวมไปถึงผู้เชี่บวชาญด้านนาโนเทคโนโลยีอีกหลายคน

Musk เชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยรักษาโรคภัยที่ปัจจุบันไม่มีทางรักษาอย่างเช่น โรคลมชัก, โรคพาร์คินสันหรือภาวะซึมเศร้าได้ ซึ่ง Musk มั่นใจว่าเข้าจะทำให้โครงการนี้สำเร็จได้ภายใน 4-5 ปีข้างหน้า แต่ถึงแม้จะประสบความสำเร็จได้ ก็ยังต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าที่เราทำให้ AI ไปทำงานร่วมกับสมองมนุษย์ได้โดยตรง



ที่มา :  www.engadget.com , www.joemonti.org , www.news.thaiware.com

วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

บทที่ 5 โลกของเครือข่าย

บทที่ 5 โลกของเครือข่าย


วัตถุประสงค์

1. อธิบายความหมายและข้อแตกต่างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตได้
2. สามารถใช้งาน เครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตในด้านต่าง ๆ
3. รู้จักอุปกรณ์เครือข่าย และการเชื่อมต่อประเภทต่าง ๆ
4. รู้จักผู้ให้บริการและสามารถเลือก ISP ที่เหมาะสมกับการใช้งานของตนเองได้
5. จริยธรรมในการใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต


เครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ประกอบด้วย เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปมาเชื่อมต่อกัน โดยอาศัยอุปกรณ์ทางด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในการเชื่อมต่อกัน วัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์







เครือข่ายอินเทอร์เน็ต คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์จ านวนมากที่เชื่อมต่อกันครอบคลุมไปทั่วโลก โดยอินเทอร์เน็ตเป็นทั้งเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายของเครือข่าย เนื่องจากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตประกอบไปด้วยเครือข่ายย่อยเป็นจ านวนมากต่อเชื่อมเข้าด้วยกัน






เกณฑ์ชี้วัดความเร็วอินเทอร์เน็ต (ความกว้างของแถบความถี่ หรือ Bandwidth)

   การใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน มีข้อมูลที่เป็นมัลติมีเดียมากมาย ทั้งวิดีโอ เพลง ฯลฯ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ ดังนั้น ความเร็วในการเชื่อมต่อ เพื่อ Download และ Upload ข้อมูลจึงเป็นสิ่งสำคัญ และ ถูกนำมาใช้เป็นตัววัดระดับค่าบริการ
   เราสามารถตรวจสอบความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยแบ่งเป็น ความเร็วที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราหรือที่เรียกว่าลูกข่าย (Client) รับส่งข้อมูลกับเครื่องแม่ข่ายหรือเครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Server) โดยระบบจะทำการเช็คความเร็วการรับข้อมูลหรือที่เรียกว่า ความเร็วในการดาวน์โหลด (Download Speed) และ ความเร็วในการส่งข้อมูลไปยังเครื่องเซิร์ฟเวอร์หรือที่เรียกว่า ความเร็วในการอัพโหลด (Upload Speed)
    ส่วนใหญ่เราจะได้ยินค าว่า Bandwidth เป็นตัวบอกของเร็วของการส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต แต่จริง ๆ แล้ว หน่วยวัดเป็น bps ย่อมาจาก Bits Per Second (บิตต่อวินาที) นั่นหมายความว่าในหนึ่งวินาทีสามารถรับส่ง

ข้อมูลได้เท่าไรนั่นเอง


เครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตในอดีตและปัจจุบัน [1-3]

  • อินเทอร์เน็ตกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณปีค.ศ.1969 หรือประมาณปีพ.ศ. 2512 โดยพัฒนามาจาก อาร์พาเน็ต (ARPAnet) 
  • อาร์พาเน็ตในขั้นต้นเป็นเพียงเครือข่ายทดลอง ตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนงานวิจัยด้านการทหาร
  • ในปี 2533 มีหลายองค์กรใช้เครือข่ายอาร์พาเน็ตมากขึ้น จนรองรับเป็น backboneต่อไปไม่ไหว อาร์พาเน็ตจึงยุติบทบาทลง และ สหรัฐ ฯ จึงเปลี่ยนไปใช้NFSNET และเครือข่ายอื่น ๆ เป็นเครือข่าย backbone แทน นอกจากนี้ ได้มีการเชื่อมเครือข่ายต่าง ๆ ท าให้เครือข่ายมีขนาดใหญ่มากขึ้นจนเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันนี้
  • อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้ท าการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับมหาวิทยาลัย 6 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT), มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, สถาบันเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC), มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เข้าด้วยกันเรียกว่า"เครือข่ายไทยสาร"
  • การใช้งานอินเทอร์เน็ตชนิดเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง ในประเทศไทยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2535 
  • ในปีเดียวกัน ได้มีหน่วยงานที่เชื่อมต่อแบบออนไลน์กับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่าน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลายแห่งด้วยกันโดยเรียกเครือข่ายนี้ว่าเครือข่าย “ไทยเน็ต” (THAInet) ซึ่งนับเป็นเครือข่ายที่มี “เกตเวย์” (Gateway) หรือประตูสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นแห่งแรกของประเทศไทย
  •  ปี พ.ศ. 2537 ความ ต้องการในการใช้อินเทอร์เน็ตจากภาคเอกชนมีมาก ขึ้นการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท) จึงได้ร่วมมือกับบริษัทเอกชน เปิดบริการอินเทอร์เน็ต ให้แก่บุคคลผู้สนใจทั่วไปได้สมัครเป็นสมาชิก โดยตั้งขึ้นในรูปแบบของบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ เรียกว่า "ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต" หรือ ISP (Internet Service Provider) 
  • ปัจจุบัน (สิงหาคม 2558) ประเทศไทยมีความกว้างช่องสัญญาณ (Internet bandwidth) ภายในประเทศ2,768.895 Gbps และระหว่างประเทศ 1,954 Gbps





ประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์

เครือข่ายระดับท้องถิ่น (Local Area Network, LAN) เป็นเครือข่ายระยะใกล้ที่ประกอบด้วยกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ใช้งานต่าง ๆ  เครือข่ายนี้จะมีขนาดเล็ก โดยเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นจะเชื่อมต่อกันในรัศมีที่ใกล้ๆ คอมพิวเตอร์สามารถส่งข้อมูลถึงกันได้โดยไม่ต้องเชื่อมการติดต่อกับองค์การโทรศัพท์หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทย เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันนั้นอาจจะใช้ฮาร์ดแวร์และ/หรือซอฟต์แวร์ที่แตกต่างกันได้
ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลของเครือข่ายระดับท้องถิ่นนั้นเริ่มต้นที่ 10 Mbps
(เรียกอีกชื่อว่า Ethernet) ต่อมาได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เนื่องจากมีโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน ใช้งานได้ง่าย และเสียค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้เพิ่มขึ้นมาเป็น100 Mbps (เรียกอีกชื่อว่า Fast Ethernet) ปัจจุบัน ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลของเครือข่ายระดับท้องถิ่นมีมาตรฐานที่ 1000 Mbps หรือ 1 Gbps (เรียกอีกชื่อว่า Gigabit Ethernet) สามารถขยายขนาดของเครือข่ายออกไปได้ไกลสูงสุดประมาณ 10 กิโลเมตร

เครือข่ายระดับเมือง (Metropolitan Area Network, MAN) เป็นเครือข่ายระยะกลางที่ประกอบด้วยกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกันอยู่ โดยเครือข่ายนี้เป็นเครือข่ายขนาดกลาง ที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งเมืองหรือจังหวัดเข้าด้วยกัน เพื่อให้บริการต่าง ๆ เช่น การส่งสัญญาณเสียง, ภาพ,ภาพเคลื่อนไหว หรือ ข้อมูลต่าง ๆ ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลของเครือข่ายระดับเมืองเริ่มต้นตั้งแต่ 100 Mbpsจนถึง 1 Gbps โดยที่เครือข่ายสามารถขยายขนาดไปได้ไกล 100 กิโลเมตรหรือมากกว่านั้น โดยจะต้องมีการเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่ายขององค์การโทรศัพท์หรือองค์การสื่อสารแห่งประเทศไทย

เครือข่ายระยะไกล (Wide Area Network, WAN) เป็นเครือข่ายระยะไกล กล่าวคือ เครือข่าย
ระยะไกลนี้จะทำการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่อยู่ห่างไกลกันเข้าด้วยกัน ซึ่งการเชื่อมต่อนั้น อาจจะเป็นการติดต่อสื่อสารกันในระดับประเทศ ข้ามทวีป หรือทั่วโลกก็ได้ในการเชื่อมการติดต่อกันนั้น จะต้องมีการต่อเข้ากับระบบสื่อสารขององค์การโทรศัพท์หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทยเสียก่อน เพราะจะเป็นการส่งข้อมูลผ่านทางสายโทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารกัน



การใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต

1. จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (อีเมล, E-mail) เป็นบริการส่งจดหมายผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (เช่น Gmail, Hotmail)
2. เทลเน็ต (Telnet) เป็นบริการช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งที่อยู่ไกล ๆ เพื่อสั่งงานเสมือนว่าผู้ใช้นั่งสั่งงานอยู่ที่เครื่องเลย
3. การถ่ายโอนข้อมูล (File Transfer Protocol, FTP) เป็นบริการถ่ายโอนไฟล์ข้อมูล  ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์สองเครื่อง
4. ระบบส่งข้อความทันที(Instant messaging, Chat) เป็นบริการส่งข้อความผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์(เช่น Facebook Messenger, Line) ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจาก ผู้ใช้สามารถสนทนากันโดยพิมพ์ข้อความโต้ตอบ ไม่ต้องรอนานเหมือนส่งอีเมล
5. เว็บ (HyperText Transport Protocol, HTTP) เป็นมาตรฐานส าหรับการส่งข้อมูลหน้าเว็บ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานของการบริการเว็บที่เป็นที่นิยมหลายอย่าง เช่น
 - เว็บไซต์บริการการสืบค้นข้อมูล (เช่น Bing, Google)

 - เว็บไซต์บริการข้อมูลสังคมออนไลน์ (เช่น Facebook, Google+)
 - เว็บไซต์ให้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์(Electronic Commerce, E-Commerce) 
 - เว็บไซต์ให้ความบันเทิงบนอินเทอร์เน็ต
 - เว็บไซต์ที่ให้บริการด้านอื่น ๆ เช่น เว็บไซต์ส าหรับการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ เว็บไซต์สำหรับการจัดการบัญชี เว็บไซต์ส าหรับการวางแผนจัดการทรัพยากรภายในองค์กร



อุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อ

อุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์กับอินเทอร์เน็ต เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถ
เชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการเข้ากับอินเทอร์เน็ตได้







1. แผ่นวงจร LAN (LAN Card): เป็นแผ่นวงจรหรือการ์ดที่ใช้ในการต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับสายนำสัญญาณ ลักษณะของการ์ดจะเป็นแบบ PCI ที่ใช้เสียบเข้าในแผ่นวงจรหลัก (Mainboard) ของเครื่องคอมพิวเตอร์ อีกด้านหนึ่งของการ์ดจะมีช่องเสียบสำหรับสายนำสัญญาณหรือในบางรุ่นจะเป็นเสาอากาศสำหรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายปัจจุบัน แผ่นวงจรหลักของเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีการ์ดอยู่เรียบร้อยแล้ว โดยที่ผู้ใช้งานไม่จ าเป็นต้องซื้อการ์ดมาติดตั้งเพิ่มเติม เรียกว่า LAN Card on Board


2. อุปกรณ์จัดเส้นทาง (Router): เป็นอุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อเครือข่ายระยะไกลตั้งแต่สองเครือข่ายขึ้นไปเข้าด้วยกัน ในการเชื่อมต่อนี้ อุปกรณ์จัดเส้นทางจะทำหน้าที่ในการเลือกเส้นทางที่เหมาะสมมากที่สุดในการส่งข้อมูล โดยอาศัยตารางเส้นทาง (routing table) ที่มีอยู่ ในการทำงานจริงของอุปกรณ์จัดเส้นทางนั้น จะทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ ทำให้ผลลัพธ์ของการหาเส้นทางที่จะส่งข้อมูลได้เส้นทางที่สั้นที่สุด รวดเร็วที่สุด ซึ่งปัจจุบันสามารถใช้งานกับการทำงานในเวลาจริง (real time) ได้ เช่น การประชุมออนไลน์ การโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต

 3. โมเด็ม (Modem): มาจากคำว่า Modulation/Demodulation เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการแปลงสัญญาณดิจิทัล(digital) ให้เป็นแอนะล็อก(analog) และในทางตรงกันข้ามจะแปลงสัญญาณแอนะล็อกเป็นดิจิทัล โดยการทำ Modulation นั้น เป็นการแปลงสัญญาณดิจิทัลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทางให้กลายเป็นสัญญาณแอนะล็อก แล้วส่งไปตามสายโทรศัพท์ ส่วนการทำ Demodulation นั้นเป็นการเปลี่ยนจากสัญญาณแอนะล็อก ที่ได้จากสายโทรศัพท์ให้กลับไปเป็นสัญญาณดิจิทัล เพื่อส่งต่อไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทาง ซึ่งสัญญาณดิจิทัลนั้น เป็นสัญญาณของเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นได้แค่ 0 กับ 1 เท่านั้น ไม่สามารถส่งผ่านสายโทรศัพท์ได้ แต่สัญญาณแอนะล็อกเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่สามารถส่งผ่านสายโทรศัพท์ได้ โมเด็มมีหลายประเภท เช่น
  •  Analog Modem เป็นโมเด็มรุ่นแรก ๆ ที่ทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โมเด็มชนิดนี้จะใช้สายโทรศัพท์เป็นสายน าสัญญาณ (ดังตัวอย่างในรูปที่ 6 - 5)เนื่องจากต้องใช้สายโทรศัพท์ส่งข้อมูล เราจึงไม่สามารถใช้งานโมเด็มพร้อมกันกับการพูดคุยโทรศัพท์ได้ โดยมีความเร็วสูงสุดในการเชื่อมต่ออยู่ที่ 56 Kbps แต่ในการใช้งานจริง อาจจะเป็นไปไม่ได้เนื่องจากสภาพแวดล้อมและสภาพของสายโทรศัพท์นั่นเอง 
  • Cable Modem: เป็นโมเด็มที่สามารถรับ-ส่งข้อมูลดิจิทัลได้โดยตรง มีความเร็วการรับส่งข้อมูลสูง สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้หลากหลายประเภท เช่น ภาพและเสียง โมเด็มชนิดนี้จะใช้สายนำสัญญาณเป็นสายใยแก้วนำแสงและสายแกนร่วมมีความเร็วสูงสุดในการรับข้อมูลอยู่ที่ 10 Mbps และความเร็วสูงสุดในการส่งข้อมูลอยู่ที่ 2 Mbps
  • ADSL Modem: เป็นโมเด็มที่ทำหน้าที่ในการเชื่อมต่ออยู่กับเครือข่ายตลอดเวลา มีความเร็วในการเชื่อมต่อสูง สามารถรับส่งข้อมูลได้รวดเร็ว โมเด็มชนิดนี้จะใช้สายโทรศัพท์เป็นสายนำสัญญาณ แตกต่างจาก Analog Model ที่มีตัวกรองสัญญาณ (Phone Line Filter,) ที่สามารถแยกข้อมูลออกจากเสียงโทรศัพท์ ทำให้ผู้ใช้ยังสามารถพูดคุยโทรศัพท์ได้เป็นปกติขณะใช้งานอินเทอร์เน็ต ปัจจุบันได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะตัวเครื่องและอัตราค่าบริการที่ถูก
4. สายนำสัญญาณ หรือ สื่อกลาง (Media): ในการรับ-ส่งข้อมูลนั้น จะต้องอาศัยสื่อกลางในการส่งสัญญาณไฟฟ้าซึ่งบรรจุข้อมูลอยู่จากจุดส่งไปยังจุดรับ โดยสัญญาณไฟฟ้านี้อาจจะถูกส่งโดยแบบใช้สายเคเบิ้ล (wired) หรือแบบไร้สาย (wireless) 


  • สายคู่ตีเกลียว (Twisted Pair): เป็นสายทองแดงขนาดเล็กที่หุ้มด้วยฉนวนพลาสติก สายคู่ตีเกลียวที่นิยมใช้แบ่งได้ 2 ประเภท คือ                                    - สายคู่ตีเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (Unshielded Twisted Pair: UTP): เป็นสายที่ประกอบด้วยสายทองแดงขนาดเล็กหุ้มฉนวนจ านวน 8 เส้น แต่ละเส้นจะมีสีต่าง ๆ เพื่อบ่งชี้การท างานที่ชัดเจน สายประเภทนี้ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากใช้งานง่าย ติดตั้งได้ง่ายราคาถูก และสามารถรองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ต้องใช้ความเร็วสูงในการเชื่อมต่อได้ดี(สาย UTP มีอีกชื่อที่ถูกเรียกจนคุ้นหูคือ CAT5)                             - สายคู่ตีเกลียวชนิดหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair: STP): เป็นสายชนิดเดียวกันกับสายUTP แตกต่างกันตรงที่ แต่ละคู่ของสาย STP จะถูกหุ้มด้วยฉนวนหรือโลหะถัก (metalbraid) เพื่อป้องกันการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สายประเภทนี้สามารถใช้เดินได้ไกลกว่าสาย UTP แต่มีราคาแพงกว่า จึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก
  •  สายเคเบิลร่วมแกน (Coaxial Cable):                                 -เป็นสายนำสัญญาณเส้นเดี่ยว รอบนอกจะถูกห่อหุ้มด้วยโลหะถัก เพื่อป้องกันการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า                                                   -ใช้ในการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่น (LAN) หรือ การส่งข้อมูลระยะไกลระหว่างชุมสายโทรศัพท์ การส่งข้อมูลสัญญาณวีดิทัศน์ เป็นต้น           -แต่ในปัจจุบัน สายแกนร่วมนี้ไม่นิยมนำมาติดตั้งในระบบเครือข่าย LAN 
  • สายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic Cable): เป็นสายที่นำสัญญาณแสงแทนสัญญาณไฟฟ้า ใช้ในระบบเครือข่ายที่มีความเร็วสูงมาก เช่น Gigabit Ethernet โดยข้อมูลจะถูกแปลงจากสัญญาณไฟฟ้าเป็นสัญญาณแสงโดยใช้อุปกรณ์พิเศษเสียก่อน ลักษณะของสายจะเป็นสายพลาสติกที่ชั้นป้องกันหุ้มอยู่หลาย ๆ ชั้น ความเร็วในการส่งสัญญาณนั้นจะสูงมาก สามารถส่งข้อมูลในระยะไกล ๆ ได้ และไม่มีการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ปัญหาของสายใยแก้วนำแสงคือความเปราะบางของสาย ซึ่งมีโอกาสช ารุดได้ง่ายกว่า และราคาที่ยังค่อนข้างแพงอยู่ในปัจจุบัน
  • การสื่อสารแบบไร้สาย (Wireless): การส่งสัญญาณแบบไร้สายนั้น จะใช้คลื่นวิทยุ (Radio Frequency: RF) ในการรับ-ส่งข้อมูล โดยอาศัยอากาศเป็นตัวกลางในการกระจายสัญญาณดังกล่าว ประโยชน์ที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากการใช้เทคโนโลยีนี้ คือ การที่เราไม่ต้องวางสายเคเบิลนั่นเอง ซึ่งสามารถสร้างเครือข่ายในพื้นที่ที่ไม่เอื้ออำนวยได้ เช่น ในหอพักแห่งหนึ่งเป็นตึก 3 ชั้น มีผู้อาศัยอยู่ชั้นละ10 คน ซึ่งแต่ละคนสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยใช้เทคโนโลยีแบบไร้สายได้ โดยที่ไม่ต้องเดินสายเคเบิลใหม่


การเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต


  • การเชื่อมต่อด้วย Cable Modem เป็นบริการอินเทอร์เน็ตที่ส่วนใหญ่แล้ว มีความเร็วมากกว่า ADSL Modem สามหรือสี่เท่าโดย Modem ต้องเชื่อมต่อกับสายเคเบิลร่วมแกน มีบริษัทผู้ให้บริการ เช่น True Internet หรือ ipstar (ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านสัญญาณดาวเทียม)
  •  การเชื่อมต่อด้วย ADSL Modemเป็นบริการอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วตั้งแต่ 128Kbps ถึง 3 Mbps  โดย Modem ต้องเชื่อมต่อกับคู่สายโทรศัพท์บ้าน มีบริษัทผู้ให้บริการเช่น TOT, 3BB ซึ่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบ ADSL ส่วนใหญ่จะใช้มาตรฐาน PPPoE (Pointto-Point Protocol over Ethernet) ช่วยในการเชื่อมต่อจาก Modem ไปยังชุมสายของผู้ให้บริการ โดยผู้ใช้ต้องกรอกชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน
  • การเชื่อมต่อด้วย Fibre Optic Router เป็นบริการอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงกว่าแบบใช้สายเคเบิลร่วมแกนมาก (บางผู้ให้บริการสามารถให้ความเร็วถึง 1 Gbps) โดย Router ต้องเชื่อมต่อกับใยแก้วนำแสง มีบริษัทผู้ให้บริการ เช่น AIS Fibre Broadband


ผู้ให้บริการเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต

หน่วยงานราชการหรือสถาบันการศึกษา
ผู้ให้บริการที่เป็นหน่วยงานราชการหรือสถาบันการศึกษาโดยทั่วไปให้บริการกับสมาชิกที่อยู่ในหน่วยงานราชการหรือสถาบันการศึกษาเท่านั้น เช่น UniNet ให้บริการเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้แก่สถาบันการศึกษาที่เป็นสมาชิก

บริษัทผู้ให้บริการเชิงพาณิชย์
บริษัทผู้ให้บริการเชิงพาณิชย์จะให้บริการกับบุคคลทั่วไปหรือบริษัท ที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกเพื่อขอใช้
บริการเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยสมาชิกต้องมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายของผู้ให้บริการ และเสียค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ โดยอัตราค่าบริการจะขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละราย ซึ่งแต่ละบริษัทจะมีอัตราค่าบริการเป็นของตัวเอง ตัวอย่างบริษัทผู้ให้บริการเชิงพาณิชย์ที่มีอยู่ในประเทศไทย เช่น True Online,3BB, TOT Online, MaxNet, CS Loxinfo, KSC, CAT, Inet, และ TT&T
ข้อดีของการใช้บริการจากบริษัทผู้ให้บริการเชิงพาณิชย์คือ การให้บริการมีหลากหลายรูปแบบ สามารถรองรับกับความต้องการของผู้ใช้บริการแต่ละประเภทที่มีอยู่แตกต่างกัน เช่น ส่วนบุคคล บริษัท ร้านเกมส์ เป็นต้น




ขั้นตอนในการเลือก ISP
1. การบริการของ ISP ที่เลือกต้องมีความเสถียร การเชื่อมต่อไม่หลุดบ่อย ISP ควรมีตู้ชุมสาย หรือ มีจุดเชื่อมต่อสัญญาณอยู่ใกล้บ้านเรา เพราะความเสี่ยงที่สายเชื่อมต่อจะขาดมีน้อย
2. พิจารณาความเร็วในการรับส่งข้อมูลเพียงพอกับความต้องการ ทั้งความเร็วการ Download และ
Upload
3. เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับ ISP รายอื่น
4. พิจารณารูปแบบการติดตั้ง เป็น DSL, Cable, Fiber หรือ จานดาวเทียม
5. เปรียบเทียบข้อเสนอพิเศษและบริการหลังการขาย


จริยธรรมในการใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
1. เราต้องมีเหตุผล รู้จักใช้วิจารณญาณไตร่ตรองข้อมูลข่าวสาร ไม่หลงงมงาย มีความยับยั้งชั่งใจ ไม่ใช้อารมณ์และไม่เชื่อใครง่าย ๆ เช่น ไม่เชื่อใจเพื่อนที่รู้จักกันทางอินเทอร์เน็ตเพียงผิวเผิน จนให้ทั้งชื่อ, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์
2. มีความซื่อสัตย์ไม่เขียนข้อความที่เป็นเท็จ หรือ ไม่ให้ร้ายผู้อื่นทางอินเทอร์เน็ต
3. หลีกเลี่ยงการทะเลาะกับผู้อื่นในอินเทอร์เน็ต แสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาด้วยความสุภาพ
4. รู้จักกล่าวขอบคุณ ให้เครดิตหรืออ้างอิงแก่เจ้าของข้อมูล
5. รู้จักข่มใจไม่เข้าไปในเว็บไซต์ที่อาจท าให้เกิดความเสียหาย หรือความทุจริตทั้งปวง




บทที่ 4 โมเดิร์น OS และ โมเดิร์นแอพ

บทที่ 4 โมเดิร์น OS และ โมเดิร์นแอพ


วัตถุประสงค์

1. อธิบายความหมายและลักษณะของ software ได้
2. อธิบายและแยกประเภทของ Software ได้
3. ทราบถึงระบบปฏิบัติการต่างๆ
4. อธิบายแนวความคิดของผู้สร้างโปรแกรม Open Source ได้
5. สามารถเลือกใช้ OS และ Application ตามที่ต้องการใช้งานได้
6. อธิบายลิขสิทธิ์ Software แบบต่าง ๆ ได้


ความหมายของซอฟต์แวร์ ความสำคัญ

เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าประเภทหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้มันแตกต่างจากอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดอื่นนั่นก็คือ มันสามารถทำงานได้หลายอย่าง ตอบสนองความต้องการของผู้คนได้มากขึ้น การที่จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้นั้น มีส่วนสำคัญอยู่ 2 ประการคือ

Hardware (ฮาร์ดแวร์) ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ที่สามารถมองเห็นเป็น
รูปธรรม สามารถจับต้องได้ เช่น จอภาพ หน่วยประมวลผล (CPU) หน่วยความจำ (เช่น RAM) คีย์บอร์ด เม้าส์  เครื่องพิมพ์   สาย LAN   Router

Software (ซอฟต์แวร์) หรือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นชุดคำสั่งที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อให้คอมพิวเตอร์
ทำงานตามขั้นตอนที่เรากำหนด เป็นส่วนที่เชื่อมต่อการทำงาน ระหว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์ ถ้าคอมพิวเตอร์ไม่มีซอฟต์แวร์ก็เปรียบเสมือนคนที่มีแต่ร่างกายและอวัยวะภายใน แต่ไม่มีความคิดมาขับเคลื่อนให้ร่างกายเคลื่อนไหว

Firmware (เฟิร์มแวร์) เป็นโปรแกรมพิเศษที่นิสิตควรรู้จัก เฟิร์มแวร์เป็นชุดคำสั่งสำหรับควบคุมการ
ทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทไมโครคอนโทลเลอร์ เช่น เมื่อเราเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมา เราจะเห็นเฟริ์มแวร์ที่เรียกว่าโปรแกรม BIOS (Basic Input Output System) เริ่มทำงาน โดยเริ่มจากกระบวนการตรวจสอบตัวเองของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น ตรวจสอบ RAM Monitor Keyboard Harddisk


ประเภทของซอฟต์แวร์

เราแบ่งประเภทของซอฟต์แวร์ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ซอฟต์แวร์ระบบและซอฟต์แวร์ประยุกต์

ซอฟต์แวร์ระบบ (System software) คือซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการจัดการระบบคอมพ ิวเตอร์
จัดการอุปกรณ์รับเข้าและส่งออก การรับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระ (Keyboard) การแสดงผลบนจอภาพ การนำข้อมูลออกไปพิมพ์ยังเครื่องพิมพ์ การจัดเก็บข้อมูลเป็นแฟ้ม การเรียกค้นข้อมูล การสื่อสารข้อมูลในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการประสานงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ ซอฟต์แวร์ระบบจึงหมายถึงซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ ให้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพซอฟต์แวร์ระบบที่รู้จักกันดี คือ ระบบปฏิบัติการ (Operating system), ซอฟต์แวร์อรรถประโยชน์ (Utilitysoftware), และ โปรแกรมขับอุปกรณ์ (Device driver)

ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application software) คือ ซอฟต์แวร์ที่ถูกพัฒนาสำหรับผู้ใช้ เพื่อให้ผู้ใช้นำมาประยุกต์ใช้กับงานที่ต้องการ เช่น ซอฟต์แวร์ประมวลคำ ซอฟต์แวร์จัดเก็บภาษี ซอฟต์แวร์สินค้าคงคลัง
ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน ซอฟต์แวร์กราฟิก ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล เป็นต้น การทำงานใดๆ โดยใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์ จำเป็นต้องทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมของซอฟต์แวร์ระบบด้วย เช่น โปรแกรม MS Office ต้องทำงานในระบบ Windows เท่านั้น


ระบบปฏิบัติการ (Operating System)

ระบบปฏิบัติการ (Operating System, OS) เป็นชุดคำสั่งที่ใช้ในการควบคุมจัดการทรัพยากรฮาร์ดแวร์
โดยทำหน้าที่ในการเชื่อมการทำงานระหว่างฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์ประยุกต์ จัดการกระบวนการใช้ทรัพยากรระหว่างซอฟต์แวร์ประยุกต์และฮาร์ดแวร์ อีกทั้งยังเป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างผู้ใช้ให้ใช้งานฮาร์ดแวร์ที่มีในระบบคอมพิวเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบายยิ่งขึ้น


ประโยชน์ของระบบปฏิบัติการ

● ผู้ใช้งานสามารถเรียนรู้และใช้คอมพิวเตอร์ได้ง่ายและรวดเร็ว 
● ผู้ใช้งานสามารถเรียกใช้งานโปรแกรมได้พร้อมกันหลาย ๆ โปรแกรม 
● ผู้ผลิตโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับใช้งานเฉพาะด้านทำงานง่ายขึ้น

ประวัติความเป็นมาของระบบปฏิบัติการ

เครื่องคอมพิวเตอร์ยุคต้น ๆ ถูกสร้างเพื่อทำงานเฉพาะอย่าง เช่น เครื่องคิดเลข โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นดิจิตอลยุคแรก ๆ (ช่วง 1940s) ยังไม่มีระบบปฏิบัติการ

ช่วงแรกของระบบปฏิบัติการ (1955) เป็นช่วงที่การสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์มีต้นทุนสูง แต่ค่าแรงของคนมีราคาต่ำระบบปฏิบัติการถูกสร้างให้ผู้ใช้เข้าถึงเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ทีละคน (Single-user system)โดยสามารถประมวลผลแบบต่อเนื่อง (Batch processing) สามารถเก็บหลาย ๆ งานในหน่วยความจำ และยังสามารถสลับให้หน่วยประมวลผล (CPU) มาท างานแต่ละงาน (Multiprogramming)
ช่วงที่สองของระบบปฏิบัติการ (ช่วงปี 1970) เป็นช่วงที่การสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์มีต้นทุนปานกลางแต่ค่าแรงของคนสูงขึ้น ระบบปฏิบัติการชื่อ TSS/360 ท างานบนเครื่องเมนเฟรม อนุญาตให้คนเข้าใช้เครื่องได้พร้อม ๆ กัน (Timesharing)
ช่วงที่สามของระบบปฏิบัติการ (ช่วงปี 1981 ถึง ปัจจุบัน) เป็นช่วงที่การสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์มีต้นทุนถูกลงมาก แต่ค่าแรงของคนสูง IBM ได้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer, PC) โดยถูกออกแบบให้เป็นระบบของผู้ใช้คนเดียว โดยมีระบบปฏิบัติการชื่อ MS-DOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ไม่ซับซ้อนยุ่งยากเหมือนระบบปฏิบัติการของเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ก่อนหน้า (เนื่องจากไม่ต้องค านึงถึงการใช้ทรัพยากรร่วมกัน แต่ต้องคำนึงถึงผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่รู้ด้านเทคนิคมากขึ้น) หลังจากนั้น Apple ได้แนะน าเครื่อง Macintosh ที่มีระบบปฏิบัติการ Mac OS ที่มาพร้อมกับกราฟิกสำหรับผู้ใช้สั่งงาน (Graphical User Interface) แทนที่จะเป็นการใช้ค าสั่งที่เป็นตัวหนังสือราว ๆ ปี 1983 Richard Stallman ซึ่งขณะนั้นท างานที่ MIT ได้ริเริ่มโครงการ GNU ขึ้น โครงการนี้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ที่สมบูณ์ สำหรับแจกฟรีให้คนทั่วไปใช้แทนที่จะต้องเสียเงินซื้อระบบปฏิบัติการUNIXเมื่อปี 1985 Intel ได้ผลิตหน่วยประมวลผล Intel 80386 ขึ้นส่งผลให้ เครื่อง PC มีระบบปฏิบัติการที่ยอมให้โปรแกรมหลาย ๆ โปรแกรมทำงานได้พร้อม ๆ กัน (Multitasking OS) ซึ่งเป็นความสามารถที่เหมือนกับของเครื่องเมนเฟรม ซึ่งบริษัท Microsoft ได้สร้าง Windows NT ขึ้น ในขณะที่ บริษัท NeXT Computer ของSteve Jobs ได้เสนอระบบปฏิบัติการ NEXTSTEPในปี 1991 Linus Torvalds กับเพื่อน ๆ ที่รู้จักทาง Internet ได้นำเสนอเคอร์เนลรุ่นแรก (หรือ แก่นกลาง) ของระบบปฏิบัตการ Linux โดยเปิดเผยค าสั่งภายใน (ซอร์สโค้ด) ทั้งหมด ซึ่งภายหลังได้รวมกับซอฟต์แวร์ระบบของ GNU จนเป็นระบบปฏิบัติการที่สมบูรณ์อีกหนึ่งระบบ



คุณสมบัติและความสามารถของระบบปฏิบัติการ

UNIX ใช้กันมากในระบบคอมพิวเตอร์ที่มีผู้ใช้งานร่วมกันหลายราย (multiusers) โปรแกรมระบบนี้เขียนด้วยภาษาซี และถูกพัฒนาขึ้นโดยศูนย์วิจัยเบลล์ของบริษัท TT&T เริ่มใช้กันมาตั้งแต่ราวปลายทศวรรษ 1960ใช้ได้ทั้งกับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (ชนิด 32 บิต) มินิคอมพิวเตอร์และเมนเฟรม โปรแกรมระบบยูนิกซ์นั้นกำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นทุกที มีโปรแกรมสำเร็จรูปจำนวนมากที่เขียนภายใต้ระบบนี้ รองรับการทำงานแบบหลายผู้ใช้ หลายงาน(Multiuser/Multitasking) โดยที่ระบบมีวิธีการในการจำแนกผู้ใช้แต่ละคน ซึ่งใช้งานอยู่
บนระบบเดียวกันได้ โดยใช้ลักษณะของการแบ่งเวลา (Time sharing) และแบ่งทรัพยากร (Resource sharing)

BSD เป็นระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ที่พัฒนาและเผยแพร่โดย มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ จัดว่าเป็นยูนิกซ์ที่ใช้กันแพร่หลายสำหรับคอมพิวเตอร์ระดับเวิร์คสเตชัน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะสัญญาอนุญาตใช้งานของบีเอสดีนั้นไม่ยุ่งยาก ทำให้บริษัทอื่น ๆ นำเทคโนโลยีไปพัฒนาในช่วงคริสตทศวรรษที่ 80 จนสร้างความคุ้นเคยในวงกว้างในปัจจุบันพบว่ามีการปรับปรุงและพัฒนาระบบปฏิบัติการโดยใช้โอเพนซอร์สโค้ดของบีเอสดีเป็นแกนหลัก มียูนิกซ์จำพวก BSD ที่สามารถมามาลงกับ pc ทั่วไปและใช้งานเป็น server กันอย่างแพร่หลายเช่น FreeBSD, NetBSD

Solaris เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้ได้กับสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ แบบสปาร์ค และแบบ x86 (แบบเดียวกับในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วไป) รุ่นแรก ๆ ของโซลาริสนั้น ใช้ชื่อว่า ซันโอเอส (SunOS) โดยมีพื้นฐานมาจากยูนิกซ์ตระกูล BSD แต่ต่อมาในรุ่นที่ 5 ได้เปลี่ยนมาใช้โค้ดของ ซิสเต็มส์ไฟว์ (System V) แทน และเปลี่ยนชื่อมาเป็น โซลาริส ดังเช่นในปัจจุบัน 

Linux เป็นระบบปฏิบัติการ ซึ่งแต่เดิม Linus Torvalds ตั้งใจออกแบบ Linux ให้เป็นระบบปฏิบัติการแบบ UNIX ซึ่งสามารถใช้งานบนเครื่อง PC ธรรมดาที่เราใช้ตามบ้าน (หรือ เครื่องที่ใช้ CPU ตระกูล x86 เช่น80386, 486, Pentium เป็นต้น) แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาให้ใช้กับตัวประมวลผลตระกูลอื่นๆ เช่น Alpha chip ได้ด้วย โดยระบบปฏิบัติการนี้ถูกแจกให้ใช้งานฟรีรวมทั้งรหัสต้นแบบ (Source code) ก็เป็นที่เปิดเผย จึงเป็นที่นิยมและมีผู้นำไปพัฒนา Linux ของตนเองขึ้นใช้งานมากมาย รวมทั้งมีผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ประยุกต์ขึ้นใช้งานบนลีนุกซ์อีกมากมาย ที่สำคัญก็คือลีนุกซ์เป็นซอฟต์แวร์ภายใต้ลิขสิทธิ์ GPL สามารถใช้งานโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ

Windows เป็นระบบปฏิบัติการ ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟท์ เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985โดยรุ่นแรกของวินโดวส์ คือ วินโดวส์ 1.0) และครองความนิยมในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมากกว่า 90% ของการใช้งานทั่วโลก เนื่องจากความยากในการใช้งานดอสทำให้บริษัทไมโครซอฟท์ได้มีการพัฒนาระบบปฏิบัติการที่เรียกว่า Windows ที่มีลักษณะการสั่งงานแบบ Graphical User Interface (GUI) ที่นำรูปแบบของสัญลักษณ์ภาพกราฟิก เข้ามาแทนการป้อนคำสั่งทีละบรรทัด ซึ่งใกล้เคียงกับ MAC OS

OS X เป็นระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุดในตระกูลแมคโอเอสสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช วาง
จำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2001 ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ แกนกลาง ดาร์วิน (Darwin) ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมการทำงานแบบยูนิกซ์ที่เป็นโอเพนซอร์ส (เปิดเผยรหัสต้นฉบับ) และส่วนติดต่อผู้ใช้แบบ อควา(Aqua) ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของแอปเปิล ออกแบบมาให้มีเสถียรภาพสูง ใช้งานง่าย หน้าจอมีปุ่มหรือเครื่องมือเฉพาะที่จำเป็น เน้นงานประเภทกราฟิกและศิลปะเป็นหลัก ทั้งนี้รูปแบบการทำงานแบบต่าง ๆ ของ MAC OS X จะสนับสนุนแบบ GCI เช่นเดียวกับระบบปฏิบัติการWINDOWS 

iOS คือ ระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์พกพาที่ถูกพัฒนาขึ้นและจำหน่ายโดยบริษัทแอปเปิล (Apple) iOSเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยคุณสมบัติโดดเด่นของ iOS คือ เป็นระบบปฏิบัติการแบบ Single OS ที่ไม่ว่าจะเป็นไอโฟน ไอพอดทัช ไอแพด รุ่นใด ก็สามารถอัพเกรดระบบปฏิบัติการมาใช้ได้ในรูปแบบเดียวกันหมด นอกจากนี้iPhone ยังโดดเด่นด้วยแอพพลิเคชั่นมากมาย มีให้เลือกดาวน์โหลดกันเป็นล้านแอพฯ ครบครันทุกความต้องการการใช้งานโทรศัพท์ (ตั้งแต่ใช้โทรศัพท์, ใช้Chat, ใช้ส่ง SMS หรือ Email, ไปจนถึง ถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ) แต่ iOS ก็มีข้อเสียที่ระบบปฏิบัติการนี้ไม่สามารถที่จะเสริมเติมแต่งอะไรเข้าไปเพิ่มเติม นอกเหนือจากที่แอปเปิลจัดสรรมาให้เท่านั้น และแอปเปิลไม่อนุญาตให้นำ iOS ไปติดตั้งบนอุปกรณ์ที่ไม่ใช่อุปกรณ์ของแอปเปิล


Android OS คือระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพา เช่น โทรศัพท์มือถือ,แท็บเล็ต,คอมพิวเตอร์และเน็ตบุ๊ก เริ่มพัฒนาโดยบริษัทแอนดรอยด์ โดยมีรากฐานมาจาก Linux จากนั้นบริษัทแอนดรอยด์ถูกซื้อโดยกูเกิล และทางกูเกิลได้นำแอนดรอยด์ไปพัฒนาต่อ ส่วนด้านลิขสิทธิ์ของโค้ดแอนดรอยด์ จะใช้ในลักษณะของซอฟต์แวร์เสรีหรือโอเพนซอร์ส (Open Source) ทำให้นักพัฒนาสามารถแก้ไข ดัดแปลงโค้ดแอนดรอยด์ได้อย่างอิสระ และที่สำคัญคือแจกฟรี จึงทำให้ค่ายผู้ผลิตมือถือต่าง ๆ สนใจนำระบบปฏิบัติการนี้ไปใส่ลงในมือถือของตน
ตั้งแต่ค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung, LG, HTC, Sony Ericsson, Motorola หรือแม้กระทั่งแบรนด์ไทย ๆ อย่าง iMobile

Windows Phone เป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Microsoft ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ผลิตสำหรับนำไปใช้กับอุปกรณ์ Mobile เช่น HTC และ Samsung บางรุ่น ข้อดีคือ สามารถทำงานร่วมกับ Application ของ Microsoft ได้ดีเช่น Microsoft Exchange, Microsoft Office และ Microsoft Outlook ข้อเสียคือ มีApplication ให้เลือกน้อย โปรแกรม Web Brower ตอบสนองไม่รวดเร็ว ปัจจุบัน
Microsoft ได้พัฒนา Windows 10 Mobile ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับสมาร์ทโฟนที่ถูกใช้แทน Windows Mobile และ Windows Phone



ซอฟต์แวร์ประยุกต์พื้นฐาน

ซอฟต์แวร์ประยุกต์พื้นฐาน (Basic application) หรือบางครั้งเรียกว่า ซอฟต์แวร์ประยุกต์อเนกประสงค์(General-purpose application) หรือซอฟต์แวร์ประยุกต์ช่วยเพิ่มผลผลิต (Productivity application) เป็นซอฟต์แวร์ที่นิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ ซอฟต์แวร์ประมวลคำ ซอฟต์แวร์ตารางทำการ ซอฟต์แวร์นำเสนอ ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล และซอฟต์แวร์สื่อสารข้อมูล


ลิขสิทธิ์ และ ใบอนุญาตซอฟต์แวร์ (software license / license)

“ลิขสิทธิ์” ตามความหมายจากเว็บวิกิพีเดีย หมายถึง สิทธิแต่ผู้เดียวที่กฎหมายรับรองให้ผู้สร้างสรรค์การกระทำใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ตนได้ทำขึ้น อันได้แก่ สิทธิที่จะทำซ้ำ ดัดแปลง หรือนำออกโฆษณา ไม่ว่าในรูปลักษณะอย่างใดหรือวิธีใด รวมทั้งอนุญาตให้ผู้อื่นนำงานไปทำเช่นว่านั้นด้วย



ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์แบ่งตามลักษณะการคุ้มครอง

ซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ (Commercial software, License software) เป็นซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ที่ผลิตขึ้นเพื่อจำหน่ายหรือมีจุดประสงค์เพื่อเชิงการค้า (ผู้ใช้ต้องซื้อค่าลิขสิทธิ์) ตัวอย่างซอฟต์แวร์ประเภทนี้ได้แก่ระบบปฏิบัติการ Windows, ระบบปฏิบัติการ Mac OS X, Microsoft Office, โปรแกรมของบริษัท Adobe เช่น Photoshop เป็นต้น

จริยธรรมในการใช้ซอฟต์แวร์

ในการติดตั้งซอฟต์แวร์ลงในคอมพิวเตอร์นอกจากจะคำนึงถึงเรื่องวัตถุประสงค์ในการใช้งานแล้ว สิ่งที่
สำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงนั่นก็คือ เรามีสิทธิ์ติดตั้งและใช้งานซอฟต์แวร์เหล่านั้นได้หรือไม่ เนื่องจากซอฟต์แวร์ทุกประเภทจะมีสิทธิ์ในการใช้ซอฟต์แวร์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ เนื่องจากซอฟต์แวร์ที่ใช้อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 (ในปีพ.ศ. 2550 ประเทศไทยถูกจัดไว้เป็นอันดับ 4 ในเอเซียแปซิฟิกที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์สูงสุด)